16/3/57

คำเตือนจากโซรอส

คำเตือนจากโซรอส


เนื่องจาก  มนุษย์ทุกคนสามารถผิดพลาดได้ (fallibility) และไม่มีใคร  ที่สามารถหลบพ้นสิ่งนี้ไปได้ ซึ่ง

วิธีการที่จะเข้าใจและเรียนรุ้ได้ที่สุดคือ Practice ไปตาม step พื้นฐาน แล้วผิดพลาดไปตาม step นั้นๆตาม

ที่มนุษย์ควรจะเป็น   เช่น เด็กเริ่มคลาน  มาเดิน  มาวิ่ง แต่ถ้าเด็ก   อยากจะวิ่งก่อนอันดับแรก พื้นฐาน

ความเข้าใจในการรองรับผลกระทบจาก fallibility จะไม่มี และ ได้รับผลกระทบรุนแรงมาก



ดังนั้น soros บอกไว้ว่ามนุษย์ส่วนมากจะพยามเชื่อมั่นว่าตนเองพร้อมแล้วสำหรับขบวนการนั้นๆ และ

เข้าใจขบวนการนั้นๆเป็นอย่างดี จึงได้โดดเข้าไปทำ จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆ   มากมายทั่วโลก เช่น

นักเศรษฐศาสตร์ที่ยังไม่เข้าใจพื้นฐานของระบบทุนนิยมที่มากเพียงพอ แต่มาแก้ไขปัญหาระดับสูงให้กับ

ธนาคารกลางแต่ล่ะประเทศ ซึ่งเป็นที่เป็นต้นเหตุของการเกิดขบวนการ Reflexivity ในก้าวแรก



เพราะมนุษย์นั้นมักจะไม่ยอมรับข้อผิดพลาด เมื่อเกิดข้อผิดจึงพยามฝืนต่อไปเรื่อยๆ เช่นการต่อสุ้ค่าเงิน

ของธนาคารกลางต่างๆ เนื่องจากไม่ยอมรับในข้อบกพร่องพื้นฐานของเศรษฐกิจของตน จนสิ่งเหล่านี้

พอกพูดขึ้นเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นๆเรื่อยๆ ในตรงนี้เองที่เป็นอีกทฤษฎีหนึ่งของโซรอสคือ Boom-Bust

Model สุดท้ายผลของการไม่ยอมรับข้อผิดพลาดนั้น มันใหญ่จนเกินความสามารถของเราที่จะรับไหว

ความเสียหายจึงรุนแรงในตอนท้ายเสียทุกครั้ง



ดังนั้น โซรอสได้เตือนไว้ว่า หากคนไหนต้องการจะรอดจากผลกระทบจากสิ่งที่เค้าเรียกว่า fallibility

แล้ว "อย่าข้ามขั้นในขบวนการทำความเข้าใจของเราเด็ดขาดในการค้นหาความรู้ "



ส่วนถ้าใครแน่เค้าก็บอกเราเช่นกันว่าให้ปล่อยเค้าไปสุดท้าย loop ของการ fallibility จะเป็นคนทำโทษ

เค้าเอง  ซึ่งจะมี out come   ออกมาตามแต่เส้นทางที่เค้าเลือกเดิน  ดังเช่น ที่เราเห็นการล่มสลายของ

จักรวรรตินิยมต่างๆ แม้กระทั่งบริษัทใหญ่ๆชั้นนำของโลก ที่ดูแล้วไม่น่าจะล้มได้ เป็นต้น ^ ^


https://www.facebook.com/pages/MudleyGroup/126836487375715?hc_location=timeline

19/2/57

แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ dream

แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ dream

นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2544

เรื่องราวของเขากลายเป็นแบบฉบับของชาวต่างชาติ ที่อาศัยจังหวะ และช่องทาง การมองธุรกิจเข้ามาสร้างการเติบโตในธุรกิจคอมพิวเตอร์ ที่ทำให้เขาผ่านทั้งจุดเติบโต และ ล้มเหลวมาแล้ว เขากำลังกลับมาอีกครั้งในเวที ที่ใหญ่กว่าเดิม


แจ๊ค มินทร์ อิงธเนศ อดีตชาวไต้หวัน ที่เข้ามาเมืองไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ขณะที่มีอายุ 27 ปี เขาผ่านการศึกษาในคณะสถาปัตยกรรม ศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยในไต้หวัน จากนั้น บินไปใช้ชีวิตเป็นพนักงานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง กับญาติของเขาในสหรัฐอเมริกา 3 ปีเต็ม


เขาตัดสินใจบินมาแสวงโชคที่เมืองไทย ในปี 2523 เริ่มทำงานในโรงงานเหล็กสยามสตีล ที่พระประแดง เป็นของตระกูลวิริยะประไพกิจ ที่ผู้เป็นพ่อของเขา อุดม อิงค์ธเนศ วิศวกรชาวไต้หวันทำงานอยู่ เป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้ พบกับวิทย์ และประภา วิริยะประไพกิจ สอง พี่น้องที่กลายมานายทุนให้กับเขา เปิดบริษัทโภคภัณฑ์เครดิต เพื่อจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิว เตอร์ ด้วยเงินทุน 2 ล้านบาท ต่อมาเปลี่ยนชื่อ เป็นสหวิริยาโอเอ


แจ๊ค มินทร์ อิงค์ธเนศ หรือ แจ๊ค มิน ชุน ฮู เป็นชื่อก่อนเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นไทยเมื่อปี 2542 สร้างการเติบโตให้กับสหวิริยาโอเอ ด้วยการแสวงหาโอกาสและช่องว่างในตลาดที่ คู่แข่งยังเข้าไปไม่ถึง หรือยังมองไม่เห็นความสำคัญ


การเข้าสู่ตลาดคอมพิวเตอร์ของเอสวีโอเอ เป็นช่วงที่ตลาดยังถูกครอบครองด้วยบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นไอบี เอ็ม ฟิลิปส์ ดิจิตอล ผู้ประกอบการเหล่านี้มักจะมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าประเภทองค์กรขนาดใหญ่ ทำให้เกิดช่องว่างในกลุ่มลูกค้า ที่เป็นองค์กรขนาดเล็ก และลูกค้าทั่วไป ที่ยังไม่ได้ขยายตลาดในลูกค้าเหล่านี้มากนัก


แจ๊คมองเห็นช่องว่างเหล่านี้ หลังจากประสบปัญหากับไอบีเอ็มจนต้องบอกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่าย เขาแก้ปัญหาด้วยการระดมติดต่อนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงมากมายหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น แมคอินทอช เอเซอร์ จากญี่ปุ่น และเอปซอนจากไต้หวัน สร้างทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า ที่จะต้องมีสินค้าครอบคลุมความต้องการมาก ที่สุด ขณะเดียวกันก็ไปมุ่งเน้นทำตลาดที่เป็นลูกค้าระดับรองลงมา และระดับลูกค้าทั่วไป ที่ยังมีช่องว่างในตลาดอีกมาก


การมุ่งไปยังลูกค้าทั่วไปที่เป็นระดับ mass และการเป็นรายใหม่ในตลาด ทำให้แจ๊ค ต้องสร้างเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่าย และขยายครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากจะทำให้ ชื่อเสียงของสหวิริยาโอเอ แพร่กระจายไปแล้ว ยังเท่ากับเป็นการสร้างจุดแข็งให้กับสหวิริยาโอเอ ในเรื่องของตลาดต่างจังหวัด และการสร้างเครือข่ายการให้บริการ เป็นจุดที่คู่แข่งไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก


แจ๊ค เป็นผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่า สามารถสร้างโอกาสและการเรียนรู้ และทำความเข้าใจ ของตลาดที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อน และด้วยสไตล์การทำงานที่ทุ่มเทให้กับงาน ก็ทำให้แจ๊ค ทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก


และเป็นจุดหนึ่งทำให้เขาพอจะมองเห็นจุดอ่อนของบริษัทคอมพิวเตอร์ข้ามชาติ ในเรื่องของการไม่มีระบบภาษาไทยให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากสำหรับเมืองไทย ที่ยังคงใช้ภาษาไทยเป็นหลัก และแจ๊คมองเห็น ช่องว่างเหล่านี้ เขาได้ใช้จุดขายในเรื่องของการทำระบบภาษาไทย ซึ่งได้กลายเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญอีกจุดหนึ่ง ในการทำให้สห วิริยาโอเอเติบโตขึ้นไปเรื่อย


การเข้าสู่ตลาดคอมพิวเตอร์ของสห วิริยาโอเอในช่วงนั้น ต้องนับว่าเป็นโชคอย่างหนึ่ง เพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่เศรษฐกิจของเมืองไทย กำลังอยู่ในช่วงของการขยายตัว ทำให้เกิดความต้องการใช้ไอทีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


สหวิริยาโอเอ เติบโตขึ้นตามกลไกของ ระบบเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ในเวลานั้น จนมีการแตกขยายธุรกิจออกเป็น 14 บริษัท เพื่อครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์ แวร์ อุปกรณ์ต่อพ่วง ดูแลระบบ และยังเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ไม่กี่รายที่เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


การประสบความสำเร็จมาจากการเสาะแสวงหาช่องว่าง และโอกาสใหม่ๆ ประกอบกับเป็นคนไม่อยู่นิ่ง ทำให้แจ๊คไม่รีรอที่จะนำพาสหวิริยาโอเอ ขยายเข้าไปลงทุนในพื้นที่ธุรกิจใหม่ๆ ที่กำลังเติบโตและมีบทบาทมากๆ ในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม หรือธุรกิจมีเดีย ด้วยการเป็นหนึ่ง ในผู้ถือหุ้นของไอทีวี


แต่ธุรกิจเหล่านี้ นอกจากจะเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่แจ๊คและสหวิริยาโอเอไม่เคยมีมาก่อน และเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนสูง หลังฟองสบู่แตก สหวิริยาโอเอ จึงกลายเป็นหนึ่งในผลผลิตของวิกฤติเศรษฐกิจ กับหนี้ระยะ สั้นที่กู้มาลงทุนเพื่อขยายอาณาจักร


แจ๊ค ต้องใช้เวลาในช่วง 4 ปี เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินเหล่านี้ ด้วยความพยายามดึงต่าง ชาติเข้ามาซื้อหุ้นของสหวิริยาโอเอ หาเงินมาใช้หนี้ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องลง เอยด้วยการตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการของศาล ล้มละลาย ด้วยการให้เจ้าหนี้ ทั้งที่เป็นสถาบัน การเงิน และเจ้าหนี้การค้าเข้ามาถือหุ้นรายใหญ่มากกว่า 90%


"ผมเป็นกรณีแรกที่เข้าสู่ศาลล้มละลาย ทั้งๆ ที่เวลานั้นไม่มีใครกล้า เพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไร" แจ๊คบอกกับ "ผู้จัดการ" ถึงที่มาของการตัดสินใจเลือกใช้วิธีฟื้นฟูกิจการแทนการยืดชำระหนี้


ช่วงเวลา 4 ปีของการแก้ปัญหา นับเป็นช่วงเวลาของการเงียบหายของเอสวีโอเอต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูธุรกิจ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหนี้ ตัดทิ้งธุรกิจไม่จำเป็น และทำเฉพาะธุรกิจที่ยังมีรายได้ เป็นช่วงเวลาที่แจ๊คเก็บตัวเงียบหายไปจากสังคม


"เหมือนพายุกำลังมา เราก็ต้องหดตัวให้เล็กที่สุด ไม่อย่างนั้นพายุพัดทีเดียวก็พัง" เขาบอกถึงสาเหตุในการเงียบหายของเขาตลอดในช่วง 4 ปีที่สหวิริยาโอเอกำลังแก้ปัญหา "และเมื่อพายุพัดออกไปแล้ว เราก็ต้องทำตัวให้ใหญ่ที่สุด" เขาบอกถึงความพร้อมในการกลับมาโลดแล่นในธุรกิจนี้อีกครั้ง


ในช่วงวิกฤติที่พัดกระหน่ำเอสวีโอเอ แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลับเป็นช่วงเวลาของเออาร์ กรุ๊ป ที่แจ๊คเป็นผู้ลงทุน และเป็นเจ้าของกิจการ ด้วยตัวเอง กลับเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ


เออาร์กรุ๊ปที่เขาเริ่มต้นไว้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ไม่แต่เพียงจะทำให้แจ๊คกลับมายืนหยัดได้ อีกครั้ง แต่แจ๊คกลับมาสหวิริยาโอเอ ในฐานะเจ้าของกิจการ ถึงแม้ว่า แจ๊คจะทุ่มเทอย่างหนักกับสหวิริยาโอเอ มาตลอดในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา


แต่ในอีกด้านหนึ่งแจ๊ค ก็มีธุรกิจที่มาเติมเต็มในส่วนอื่นๆ ที่นอกเหนือจากธุรกิจคอมพิวเตอร์ และเป็นส่วนที่ทำให้แจ๊คสามารถเรียนรู้ และศึกษาสภาพความเป็นไปของตลาด ที่จะได้จากข้อมูลข่าวสาร

แจ๊คร่วมกับนักวิชาการในวงการคอม พิวเตอร์ ก่อตั้งบริษัทเออาร์ขึ้นในปี 2531 เริ่มต้นด้วยการทำด้านวิชาการ ข้อมูลด้านบัญชี การทำธุรกิจของเออาร์ แม้จะเป็นการทำที่ต่อเนื่อง การดำเนินงานช่วงนั้นจึงจำกัดในวงอยู่ที่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ นิตยสารด้านคอมพิวเตอร์


จนกระทั่ง แจ๊คได้นำองค์กรเออาร์เข้า สู่ธุรกิจบริการข้อมูลออนไลน์ ในปี 2538 ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญในเวลา ต่อมา ระยะเวลากว่า 10 ปีในการทำธุรกิจ ที่ต้องคลุกคลีอยู่กับการทำธุรกิจที่ต้องเกี่ยว ข้องกับลูกค้าที่เป็นภาคธุรกิจ และราชการ เป็น ช่วงจังหวะที่ทำให้แจ๊คเรียนรู้และสร้างสายสัมพันธ์ธุรกิจสัมปทานจากภาครัฐในระดับกว้าง


เออาร์กรุ๊ป ยื่นข้อเสนอขอเป็นผู้รับสัมปทานให้บริการข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนจากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้ชื่อบริษัท บิสซิเนสออนไลน์ หรือบีโอแอล เป็นรากฐานสำคัญของการขยาย ตัวสู่ธุรกิจบริการข้อมูล (content) ของเออาร์กรุ๊ป ที่ต่อมาได้จัดตั้งเป็นกลุ่มเอนิวส์ เพื่อลงทุน ในธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบริการอินทอร์เน็ต หรือไอเอสพี


วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้องค์กรธุรกิจต่างพากันปรับโครงสร้างปรับปรุง องค์กรใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่อีบิสซิเนส ทำให้เกิดความจำเป็นในการใช้ประโยชน์จากข้อมูล สร้างโอกาสใหักับธุรกิจทางด้านข้อมูล และบริการออนไลน์ ที่กำลังเป็นกระแสของคลื่นลูกใหม่ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฐานข้อมูลที่ บีโอแอลจัดทำขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาในการนำข้อมูลที่นำมาคีย์เข้าคอมพิวเตอร์ เสร็จสมบูรณ์ พอดี และเป็นช่วงที่คู่แข่งที่เป็นเจ้าของ content ที่เป็นสิ่งพิมพ์ ยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ และขาด ความพร้อม


เออาร์กรุ๊ป จึงมีค่ามีราคาในสายตานักลงทุน ที่มองเห็นโอกาสจากธุรกิจอินเทอร์เน็ต และธุรกิจออนไลน์ คอสเพอร์โก้ เวนเจอร์แคปปิตอล จาก สวิตเซอร์แลนด์ เป็นรายแรกที่เข้ามาลงทุนในเอนิวส์ จากนั้นได้ทยอยขายหุ้นให้กับแคพเพล เทเลคอมมิวนิเคชั่น


การได้แคพเพล เทเลคอมมิวนิเคชั่น กลุ่มทุนขนาดใหญ่จากสิงคโปร์ ที่มีฐานธุรกิจสื่อสาร และข้อมูล เข้ามาลงทุนในกลุ่มเออาร์ จึงเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของแจ๊คและเออาร์ กรุ๊ป เพราะถึงแม้ว่า บริการข้อมูลของเออาร์เริ่มเป็นที่ต้องการ และความพร้อมของเออาร์กรุ๊ปเพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่การขยายตัวของธุรกิจยังทำได้ในขีดจำกัด เพราะขาดแหล่งเงินทุน

และนี่ก็คือ เหตุผลที่ทำให้แจ๊คไม่เพียง แต่ผลักดันให้แคพเพลเข้ามาถือหุ้นทั้ง 40% แทนคอนเพอร์โก้ เวนเจอร์แคปปิตอล จากสวิต เซอร์แลนด์เท่านั้น แต่ยังให้มาถือหุ้นในเออาร์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหม่ของเออาร์กรุ๊ป   จุดแข็งของแคพเพลในสายตาของ แจ๊ค นอกเหนือจากเงินทุนและทรัพยากรแล้ว ระบบการทำงานที่เป็นสากล และเครือข่ายของแคพเพลที่ลงทุนอยู่มากกว่า 30 ประเทศ ไม่เพียงจะสร้างโอกาสให้กับเออาร์กรุ๊ปในประเทศ เท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ภูมิภาค   "เวที ของผมไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยเท่านั้น" บริการอินเทอร์เน็ตดาต้าเซ็นเตอร์ของ บริษัทดาต้าวัน บริษัทลูกของแคพเพลที่เข้ามา เปิดสาขาในไทย คือคำตอบหนึ่งของเรื่องนี้  การสร้างเครือข่ายบริการอินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ ไปทุกประเทศในภูมิภาค ก็คือ การสร้างถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ในการลำเลียงข้อมูลไปทั่วภูมิภาคเอเชีย ยังไม่รวมเครือข่ายธุรกิจสื่อสาร และข้อมูลในด้านอื่นของแคพเพล  ความฝันครั้งใหม่ของแจ๊ค คือ การเป็น ผู้วางโครงสร้างพื้นฐานของการทำธุรกิจบนโลก ใบใหม่อยู่บนระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวเชื่อม อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นโมเดลทางธุรกิจใหม่ ไม่ว่าแจ๊ค และองค์กรธุรกิจทุกรายเวลานี้กำลังให้ความสำคัญ   สิ่งที่เออาร์กรุ๊ปต้องทำต่อไป ก็คือ การ สร้างความสมบูรณ์ของระบบหลังบ้าน ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบเปย์เมนต์เกตเวย์ ที่เป็นเรื่องของ back office ที่แจ๊คจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้   การเติบโตของเออาร์กรุ๊ป ไม่ได้ทำให้แจ๊คมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ที่จะนำเขาไปสู่โมเดลการทำธุรกิจแนวใหม่ ที่จะมี content เป็นตัวขับเคลื่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสของการกลับมาฟื้นฟูสหวิริยาโอเออีกครั้ง  และการ กลับมาของเขาในครั้งนี้ ทำให้แจ๊คเปลี่ยนจาก ฐานะของลูกจ้าง มาเป็นเจ้าของกิจการ แจ๊ค ไม่เพียงแต่จะเรียนรู้การใช้วิกฤติ ให้เป็นโอกาสเท่านั้น แต่เขายังเรียนรู้การทำงาน ร่วมกับพันธมิตรอย่างเข้มข้น   การเจรจาขอซื้อหุ้นสหวิริยาโอเอ จาก เจ้าหนี้เกิดขึ้นทันที หลังจากแคพเพลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเออาร์กรุ๊ป  "ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมจะทำให้เอสวีโอเอ กลับมาเป็นที่ 1 ของประเทศให้ได้"   คำประกาศของเขากับ "ผู้จัดการ" ที่เขาไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้มาถึง 4 ปีเต็ม ถึงแม้ว่าเอสวีโอเอจะประสบปัญหาแต่ ประสบการณ์ของการทำธุรกิจยังคงมีอย่างต่อเนื่อง  นอกจากจะเกื้อกูลกับโมเดลของธุรกิจอนาคตที่แจ๊ควางไว้ เครือข่ายของแคพเพลในภูมิภาค จะช่วยกอบกู้ให้เอสวีโอเอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้ไม่ยาก  "ใครก็ตามที่จัดการกับการเปลี่ยน แปลงได้ คนนั้นจะเป็นผู้ชนะ" แจ๊คบอกด้วยท่าทีปลอดโปร่งเต็มที่ หลังจากที่เขาหายหน้าหายตาไปถึง 4 ปี  การจัดการเปลี่ยนแปลงของแจ๊ค ก็คือ การที่เขาตัดสินใจนำสหวิริยาโอเอเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย แทนที่จะตัดสินใจยืดหนี้ออกไปเหมือนกับหลายธุรกิจ  ผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ กลายเป็นโอกาสทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของเอสวีโอเอ ก็คือ สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ ที่พร้อมจะขายหุ้นออกไปได้ตลอด เวลา และนี่คือ ความสามารถในการจัดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้แจ๊คกลับมาได้อีกครั้ง และการกลับมาของเขาครั้งนี้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากการเป็นมืออาชีพ มาอยู่ในฐานะของเถ้าแก่ ที่อยู่บนเวทีเดิมเท่านั้น แต่เป็นเวทีธุรกิจใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม   การเปลี่ยนจากคนขายฮาร์ดแวร์ มาเป็นคนขายบริการ และขายข้อมูล ขายความรู้ ที่จะมีกลไกและวิธีการทำธุรกิจที่ต้องเปลี่ยน แปลงไปจากเดิม เป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้  "เมื่อพายุผ่านไป ผมก็ต้องขยายใหญ่ที่สุด นี่คือสัจธรรม" สำหรับแจ๊คแล้ว การขยายธุรกิจยังเป็นกลยุทธ์ของเขา แจ๊คอาศัยช่วงจังหวะที่บรรดาเจ้าของสิ่งพิมพ์ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดบ้านของตัวเอง เตรียมออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ภาษาไทย "บิสซิเนสไทม์" ที่จะเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างแจ๊คและแคพเพล ที่จะทำให้เขาลงลึกเข้าสู่ธุรกิจการทำ content ที่ต้องมีการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งที่แจ๊คไม่เคยมีมาก่อน   "ผมไม่ต้องการสร้าง power หรือเหยียบบนหัวไหล่ใคร ผมยอมรับว่าผมเตี้ย ผมต้องการถ่ายทอดด้วยสถิติ ด้วยตัวเลข" เนื้อหาหลักของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ จะเน้นเนื้อ หาด้านการตลาด และการบริหาร ที่จะใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลที่มีอยู่เดิม มาใช้ในการเป็นความรู้ให้กับผู้อ่านใช้วิเคราะห์สถาน การณ์ จุดแตกต่างอยู่ที่การทำให้เป็นทั้งหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์ที่รวมอยู่ในฉบับเดียวกัน   ถึงแม้ว่าเขาต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ แต่สิ่งหนึ่ง ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ก็คือ บุคลิก ความเชื่อ ความขยัน ที่แจ๊คยืนยัน ว่า เขายังเหมือนเดิม  การฟื้นขึ้นมาอีกครั้งของเขา ความกล้า เผชิญหน้ากับความเป็นจริงมาจากการที่เขาเริ่มต้นธุรกิจมาจากไม่มีอะไรในมือ  "ผมมาเมืองไทยด้วยกระเป๋าเพียงใบเดียว ภาษาไทยพูดไม่ได้ แต่ก็สามารถสร้างตัวขึ้นมาได้ ด้วยความมีไฟ และความฝัน เช่นเดียวกับวันนี้ของแจ๊คที่เขายังคงเป็นนักฝัน "dream maker" เช่นเดิม  "อย่าลืม ว่า ผมเป็นสถาปนิก ผมต้องสร้างฝัน" และเขากำลังเริ่มต้นอีกครั้งกับความฝันครั้งใหม่ และการใช้ชีวิต เขาใช้เวลาไปกับการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม  "ชีวิตต่อจากนี้ ผมคงจะยุ่งมากขึ้นและ ต้องขยันมากขึ้นกว่าเดิมอีก 20 เท่า ผมต้อง sensitive กับการเปลี่ยนแปลง" นี่ก็คือ ส่วนหนึ่งของเส้นทางของชาวต่างชาติ นักฝันที่กำลังเริ่มต้นอีกครั้ง

ศีกษาหุ้นกลุมมีเดีย


1.amarin
2.bec
3.grammy
4.live
5.maco
6.match
7.mati
8.mcot
9.nmg
10.post
11.rs
12.se-ed
13.smm
14.sport
15.th
16.wave
17.work



หุ้นบันเทิงโค้งท้ายแจ่มจรัส -Q3กำไรโต 13.55%

       * โบรกฯ ชี้ Q4 เงินโฆษณาบูม ชู MAJOR เป็น TOP PICK

เปิดโผ 17หุ้นกลุ่มบันเทิงกำไรรวม Q3/55 โต 13.55% จากปีก่อน MATCH เจ๋งสุดกำไรกระฉูด 431.35 % ส่วน MPIC เศร้ากำไรทรุดมากสุด 792.09% เซียนหุ้นฟันธงQ4 เงินโฆษณาบูม ชู MAJOR เป็น TOP PICK โบรกฯ เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์กำไร WORK ปีนี้ ส่วนMCOTปรับคำแนะนำเป็นซื้อหลังคาดปี 56 กำไรโต10% ขณะที่BEC แนะเพียงถือคาดปีหน้ากำไรโตชะลอตัว ฟากเกียรตินาคิน ระบุ ซีทีเอชคว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ไม่กระทบ GRAMMY - RS แนะถือและซื้อตามลำดับ ด้านฟิลลิปคาด MAJORกำไรปีนี้แตะ 908.70 ลบ.ปีหน้าแตะพันลบ. บิ๊ก MATCH คาดกำไรทั้งปีนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์

*เปิดโผ 17หุ้นกลุ่มบันเทิงกำไรรวม Q3/55 โต 13.55%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/2555 ของหุ้นในกลุ่มบันเทิงจำนวน 16 บริษัท พบว่า มีกำไรสุทธิรวม 2389.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 2120.97ล้านบาท เพิ่มขึ้น 268.80 ล้านบาท หรือ12.67 %
ทั้งนี้ 3 อันดับแรกที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกลุ่ม คือบริษัท แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) MATCH โดยQ3/55มีกำไรสุทธิ 13.95 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 4.21ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.16 ล้านบาท หรือ 431.35 % รองลงมาเป็นบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ SPORT มีกำไรสุทธิ 8.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 1.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1 ล้านบาท หรือ 396.64 % และบริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) มีกำไรอยู่ที่ 17.72 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 33.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.21 ล้านบาท หรือ 152.91%
สำหรับ บริษัทที่ผลงานQ3/55 ลดลงมากที่สุด คือ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)(MPIC) โดยพลิกขาดทุนอยู่ที่ 29.76 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 4.30 ล้านบาท ลดลง 34.06ล้านบาท หรือ 792.09% รองลงมาเป็นบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY โดยมีกำไรอยู่ที่ 9.12 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 182.56 ล้านบาท ลดลง 173.44 ล้านบาท หรือ 95.0% และบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) (MATI) โดยมีกำไรอยู่ที่6.94 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 17.97 ล้านบาท ลดลง11.03ล้านบาท หรือ61.38 %

*โบรกฯ ฟันธงQ4 แจ่มต่อรับ ไฮซีซั่นเงินโฆษณาบูม ชู MAJOR เป็น TOP PICK

นายดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน ประเมินทิศทางกลุ่มบันเทิงในไตรมาส 4/2555 ว่า จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2555 เนื่องจากปกติช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจกลุ่มบันเทิง ซึ่งจะมีรายได้จากค่าโฆษณาเข้ามาสูงมาก เพราะเป็นช่วงเทศกาล ซึ่งหากเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจะถือเป็นตัวเลขที่สูงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เนื่องจากช่วงไตรมาส 4/2554 ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในกลุ่มบังเทิงที่คาดว่าจะมีผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/2555 ดีขึ้น อาทิ BEC MCOT WORK และ MAJOR เป็นต้น โดยเฉพาะ MAJOR นั้น บริษัทฯ เลือกให้เป็น TOP PICK ในไตรมาส 4/2555 เนื่องจากเชื่อว่าอัตราการเติบโตในไตรมาส 4/2555 จะสูงมากกว่าไตรมาส 3/2555 มาก เนื่องจากประเมินว่า ช่วงไตรมาส 4/2555 จะเป็นหน้าหนังที่แข็งแรงที่สุดในปีนี้ และเป็นช่วงไฮซีซั่นของการใช้งบโฆษณา โดยไตรมาส 4/2555 มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ยักษ์ ซึ่งรายได้ประมาณ 50 ล้านบาท, และเจมส์บอนด์ 007 ที่ผ่านไปเพียง 2 สัปดาห์ทำรายได้แล้วประมาณ 80 - 90 ล้านบาท และกำลังจะมี Twilight ภาคจบ, The Hobbit และหนังจากค่าย GTH และ m๓๙ เข้ามาอีกค่ายละเรื่อง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้รายได้ให้ MAJOR ไตรมาส 4/2555 สูงขึ้นอย่างมาก โดยประเมินราคาเหมาะสมในปีนี้ที่ 24.60 บาท
ขณะที่แนวโน้มของ GRAMMY ในช่วงไตรมาส 4/2555 บริษัทฯ ประเมินว่า GRAMMY อาจประสบกับภาวะขาดทุนได้ โดยประเมินว่าจะมีผลขาดทุนประมาณ 600 ล้านบาท และเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดของปี เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายของ GMM Z ซึ่งส่งผลกระทบเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3/2555 ที่ทำให้ GRAMMY มีกำไรประมาณ 9 ล้านบาทเท่านั้น และ GRAMMY จะต้องตัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปี 2555 รวมทั้งส่วนที่ยังไม่ได้มีการตัดจ่ายในช่วง 9 เดือนแรกของปี เช่น ค่าลิขสิทธิ์รายการโทรทัศน์ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเพย์ทีวี เป็นต้น ขณะที่ RS แม้จะได้รับแรงกดดันจากทีวีดาวเทียมบ้าง แต่น่าจะน้อยกว่า GRAMMY เพราะช่องทีวีดาวเทียมของ RS มีน้อยกว่าแกรมมี่มาก
ส่วนในปี 2556 บริษัทฯ ประเมินว่า บริษัทฯที่ทำธุรกิจทีวีดาวเทียวจะมาแรงมากในปีหน้า โดยเฉพาะ GRAMMY เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากที่ได้ใบอนุญาตประกอบกิจการจาก กสทช. และมองว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น GRAMMYจากจุดสูงสดในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา ประมาณ 40% ได้สะท้อนต่อปัจจัยลบดังกล่าวบ้างแล้ว ขณะที่ธุรกิจโดยรวมของปีหน้าเชื่อว่าน่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ได้ โดยเฉพาะ MCOT ที่หันมาทำรายการของตัวเองมากขึ้น ซึ่งทำให้ทิศทางรายได้และกำไรจะเติบโตกว่าปีนี้แน่นอน ส่วนหุ้นตัวอื่น ๆ ต้องรอพิจารณาจากผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ก่อน
ด้านนางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุธโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่าแนวโน้มทิศทางของหุ้นกลุ่มบันเทิงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนั้น มองว่าจะมีการขยับเพิ่มขึ้นของธุรกิจทางด้านนี้อีกมาก เนื่องจากปัจจัยที่เป็นตัวช่วยเพิ่มทางด้านรายได้ให้กับธุรกิจด้านบันเทิงนั้นอยู่ได้คือค่าโฆษณาที่มีการแข่งขันกันในสื่อทุกแขนง ส่วนรายได้หลักนั้นที่มาจะเป็นในสื่อของรูปแบบของสื่อโฆษณาทางทีวี ประกอบกัน
ส่วนทิศทางในปีหน้านั้นคาดว่าสื่อโฆษณาทางทีวีที่เป็นปัจจัยหลักอยู่แล้วนั้น จะทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นทั้งในสื่อโฆษณาที่เป็นแผ่นป้ายที่ติดตั้งบนสถานีรถไฟฟ้าหรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนท้องถนนที่มีการเปลี่ยนรูปแบบสื่อให้เป็นแบบดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งจะมีทิศทางที่เติบโตไปพร้อมๆกับเศรษฐกิจและความต้องการภายในประเทศทางด้านต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นจะเป็นตัวช่วยเสริมให้ธุรกิจทางด้านบันเทิงนั้นจะมีทิศทางที่สดใส

* กูรู เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์กำไร WORK ปีนี้

บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่า ผลประกอบการ 3Q55 : กำไรสุทธิทรงตัว QoQ แต่เพิ่มขึ้นถึง 41% YoY เป็น 136 ล้านบาท จากการเติบโตของธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ 6% YoY เป็น 405 ล้านบาทจากการปรับค่าโฆษณา รายได้จากโทรทัศน์ดาวเทียมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 42 ล้านบาทหลังจากเริ่มออกอากาศเมื่อเดือน ก.พ. ขณะที่รายได้จากการรับจ้างผลิตเติบโตหลายเท่าตัวจาก 12 ล้านบาทใน 3Q54 เป็น 125 ล้านบาทจากการรับจ้างจัดงานให้ภาครัฐ การจัดงานแถลงข่าวประมูล 3G ของ กสทช. การรับจ้างผลิตรายการ Thailand's Got Talent Season 2 และ รายการ The Voice อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 49.9% ใน 3Q54 มาเป็น 46.2% จากการที่สัดส่วนรายได้รับจ้างผลิต (มีอัตรากำไรต่ำกว่าธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์) เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ยังลดลงมากเนื่องจากการประหยัดจากขนาด ขณะที่อัตราภาษีลดลง
แนวโน้มผลประกอบการ 4Q55 : คาดกำไรเติบโตสูงเมื่อเทียบ YoY เนื่องจากไตรมาส 4 เป็นไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมโฆษณา และ ปีก่อนมีฐานต่ำจากน้ำท่วมซึ่งกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมโฆษณาและกิจกรรมด้านบันเทิง แต่ในปีนี้มีกิจกรรรมหลายอย่าง เช่น คอนเสิร์ตคุณพระช่วยสำแดงสด ริวโชว์ มหกรรมคนอวดผี และ Thailand’s Got Talent Show on stage อีกทั้งมีรายได้จากทีวีดาวเทียมขณะที่ปีที่แล้วไม่มี
คำแนะนำการลงทุน : กำไรสุทธิในช่วง 9M55 คิดเป็น 79% ของคาดการณ์กำไรปีนี้ เราจึงมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไร เรามีมุมมองเป็นบวกสำหรับ WORK ซึ่งมีศักยภาพเติบโตในเกณฑ์ดีจากการเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ที่เป็นที่มีชื่อเสียงทำให้มีโอกาสผลิตรายการเพิ่มเติม อีกทั้งธุรกิจทีวีดาวเทียมประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก ขณะที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ และ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 5-6% เราแนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเหมาะสมอิง PER ปี 2256 ที่ระดับ 17 เท่า

* โบรกฯปรับคำแนะนำเป็นซื้อ MCOT คาดปี 56 กำไรโต10%

บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า คาดการณ์กำไรสุทธิปี 56 เติบโต 10% y-o-y สืบเนื่องจาก 1) การขึ้นค่าโฆษณา ม.ค.56 2) เม็ดเงินโฆษณาไหลเข้า MCOT มากขึ้น หลังจากช่อง 3 และ 7 ปรับขึ้นค่าโฆษณา 3) ดึงเวลากลับมาเพื่อผลิตโปรแกรมของตนเอง 4) อัตราภาษีเงินได้ลดลงเป็น 20% จากปี 55 ที่ 23% และ 5) ฐานเปรียบเทียบที่ต่ำ ทั้งนี้ตลาดมีความคาดหวังกับ MCOT ที่ต่ำลง หลังจากผลการดำเนินงานที่อ่อนลงใน 1H55 การที่เรทติ้งส์ที่ทำได้สูงขึ้นทั้ง ข่าว และบันเทิง ยังผลให้ MCOT สามารถปรับขึ้นค่าโฆษณาได้
หยุดแผนการสร้างอาคารคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ (skyscraper) 165 ชั้น แต่อาจเปลี่ยนเป็นการก่อสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดกลางแทน หากเป็นเช่นนี้ ถือว่าทำให้เราโล่งใจ ทั้งนี้อาคารคอมเพล็กซ์จะมีการค่ายสำนักงานข่าวต่างประเทศมาร่วมใช้สิ่งอำนวยความสะดวกกับ MCOT เช่น NHK, KBS, CCTV และ AI Jazeera
ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก ถือ เป็น ซื้อ เพราะ 1) แนวโน้มผลการดำเนินงานสดใส 2) ลดความกังวลเรื่องการสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ และ 3) คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในระดับสูงงวดปี 55 และ 56 เป็น 7% และ 7.7% ตามลำดับ (อัตราการจ่ายปันผลสูงเป็น 90%) กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 42.75 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 56 ที่ 15 เท่า (ส่วนลด 30% จากการประเมินมูลค่าหุ้น BEC)

* ปี 56 BEC โตในอัตราชะลอตัว แนะเพียงถือ

บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า BEC เตรียมพร้อมรับการแข่งขันปี 2556 ผู้บริหาร BEC เปิดเผยว่าปี 2556 สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เตรียมปรับผังรายการช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ให้เข้มข้นมากขึ้น ด้วยการนำรายการเรียลลิตี้และเกมโชว์ต่างประเทศมาออกอากาศมากขึ้น หลังจากที่รายการ The Voice Thailand ที่ออกอากาศในช่วงเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2555 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะปรับลดการแถมเวลาโฆษณาในรายการละครหลังข่าว 2 ทุ่มอีกด้วย
ไม่มีแผนเข้าประมูลใบอนุญาตให้บริการโครงข่ายดิจิตอลทีวี เนื่องจากเสียเปรียบคู่แข่งที่มีความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐานมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม มีความสนใจที่จะขอใบอนุญาตบริการโทรทัศน์ระบบดิจิตอลภาคพื้นดินประเภทธุรกิจเมื่อ กสทช. เริ่มออกใบอนุญาต
กรณีการต่อต้านการใช้โฆษณารายการเล่าข่าวคุณสรยุทธ ผู้บริหารเปิดเผยว่า ณ ปัจจุบันยังไม่ได้รับการติดต่อจากเอเจนซี่โฆษณารายใดว่ามีลูกค้าขอยกเลิกใช้โฆษณาในรายการดังกล่าว
ปี 2556 เติบโตต่อเนื่องด้วยอัตราที่ชะลอตัวลง แม้ว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 จะสามารถรักษาส่วนแบ่งผู้ชมได้ในระดับสูงต่อเนื่องในปี 2555 รวมถึงมีแผนปรับผังรายการที่เข้มข้นมากขึ้นในปี 2556 แต่อย่างไรก็ตาม เรามองว่าแนวโน้มการแข่งขันที่สูงขึ้นในธุรกิจสื่อโทรทัศน์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะกดดันการเติบโตของกำไรของ BEC ในปี 2556 รวมถึงเกิดความไม่แน่นอนจากการต่อต้านการใช้โฆษณาในรายการเล่าข่าวคุณสรยุทธ เราจึงคาดกำไรปี 2556 ของ BEC จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงมาอยู่ที่เพียง 4% YoY จากปี 2555 คาดว่ากำไรจะเติบโตสูงถึง 22% YoY
ราคาหุ้นถูกกดดันจากปัจจัยเสี่ยงรายการคุณสรยุทธ นับตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. 2555 จนถึงปัจจุบันราคาหุ้น BEC ปรับตัวลดลงแล้วประมาณ 6% แต่อย่างไรก็ตาม เรายังมองว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 มีความสามารถในการแข่งขันสูง คาดกำไรปี 2556 ยังเติบโตได้ราว 4% YoY และคาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2556 ที่ราว 4% เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ” ทั้งนี้ เราคาด BEC จะจ่ายเงินปันผลงวด 2H55 จำนวน 1.17 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนราว 2%

*เกียรตินาคิน ระบุ ซีทีเอช ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ไม่กระทบ GRAMMY - RS

บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า “ซีทีเอช” ชนะการประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ธุรกิจเพย์ทีวี ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี มีแนวโน้มแข่งขันสูงขึ้น หลังจากที่ซีทีเอชได้ลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษใน 3 ฤดูกาลข้างหน้า เราคาดว่าจะทำให้ธุรกิจเพย์ทีวี ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี มีการแข่งขันสูงขึ้น เนื่องจากซีทีเอชจะขึ้นมากเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอีกราย จากที่ปัจจุบันตลาดมีผู้เล่นหลัก ได้แก่ True Vision, PSI, DTV, IPM, GMM Z และ Sunbox เป็นต้น ในขณะที่มูลค่าการประมูลที่ซีทีเอชได้มานั้นสูงกว่าครั้งก่อนมาก ประกอบกับเครือข่ายสมาชิกของซีทีเอชเองที่ยังไม่ครอบคลุมและส่วนใหญ่เป็นตลาดต่างจังหวัดซึ่งอาจไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของรายการดังกล่าว ดังนั้น เราจึงคาดว่าอาจจะเห็นซีทีเอชมีความร่วมมือกับพันธมิตรรายอื่นๆ ในการให้บริการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษใน 3 ฤดูกาลข้าง
หน้า
GRAMMY ไม่กระทบโดยตรงแต่คงต้องใช้ความพยายามกับ GMM Z มากขึ้น เราประเมินว่าไม่กระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของ GRAMMY แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะทำให้ GRAMMY ต้องใช้ความพยายามในการทำตลาด GMM Z มากขึ้นเมื่อเทียบกับในกรณีที่หาก GRAMMY มีพรีเมียร์ลีกเป็นจุดขายในการทำตลาด โดยเรายังคงประเมินมูลค่าเหมาะสมเท่าเดิมที่ 16.90 บาท
RS ไม่กระทบโดยตรงแต่การแข่งขัน Sport Content มีแนวโน้มสูงขึ้น เราประเมินว่าไม่กระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของ RS แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะทำให้การแข่งขันในการทำธุรกิจเพย์ทีวีช่องรายการกีฬา (Sport Content) สูงขึ้น ซึ่งเราประเมินว่าเครือข่ายสมาชิกของซีทีเอชที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลุ่มเป้าหมายช่อง RS Sport Laliga ของ RS เรายังคงประเมินมูลค่าเหมาะสมเท่าเดิมที่ 6.10 บาท
ไม่กังวลการไม่ได้ลิขสิทธิ์ แต่กังวลความล่าช้าและพลาดเป้าขายกล่องมากกว่า เราไม่กังวลต่อการที่ GRAMMY และ RS ไม่ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษมากนัก เนื่องจากประเมินว่าทั้ง 2 บริษัทไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่อกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบทางอ้อมทำให้ตลาดเพย์ทีวีมีการแข่งขันสูงขึ้น ขณะที่สิ่งที่เรามีความกังวลต่อ GRAMMY และ RS และเป็นปัจจัยลบกดดันระดับราคาหุ้นในช่วงนี้ คือ ความล่าช้าในการดำเนินธุรกิจเพย์ทีวีที่ต้องรอใบอนุญาตจาก กสทช. และมีแนวโน้มว่ายอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมของทั้ง 2 บริษัท อาจไม่ได้ตามเป้าหมายที่ผู้บริหารคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” RS เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนต่อปัจจัยความกังวลดังกล่าวบ้างแล้ว โดยให้มูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 6.10 บาท ในขณะที่ยังคงคำแนะนำ “ถือ” GRAMMY เพื่อรอโอกาสการฟื้นตัวของผลประกอบการในปี 2556 โดยให้มูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 16.90 บาท

*โบรกฯ มองGRAMMY Q4 ขาดทุน แต่แนะถือ คาดฟื้นตัวในปี56

บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า GRAMMY รายงานผลประกอบการ 3Q55 มีกำไรเพียง 9 ล้านบาท ต่ำกว่าที่เราคาดถึง 92% และลดลง 95% YoY และ 82% QoQ เนื่องจาก GRAMMY ยังมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องแม้ว่า 3Q55 จะไม่มีกิจกรรมพิเศษการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโรเหมือนใน 2Q55 ก็ตาม ซึ่งเราคาดว่าค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนั้นเกิดจากการดำเนินงานธุรกิจใหม่ GMM Z โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงกว่าที่เราคาด 20% และเพิ่มขึ้น25% YoY และ 9% QoQ มาอยู่ที่กว่า 955 ล้านบาท ในขณะที่ GRAMMY ยังไม่สามารถเก็บค่าบริการเพย์ทีวีจากลูกค้าได้เนื่องจากต้องรอใบอนุญาตประกอบกิจการจาก กสทช. ซึ่งคาดว่าได้รับใบอนุญาตในปลายปี 2555 ทั้งนี้ ธุรกิจหลักเดิมของ GRAMMY (เพลง, ภาพยนตร์, สื่อโฆษณาและการจัดอีเว้นท์) ยังคงมีกำไรทรงตัวอยู่ในระดับปกติ มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 920 ล้านบาท ลดลง 3% YoY และเพิ่มขึ้น 1% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราคาด
แนวโน้ม 4Q55 เราคาดว่า GRAMMY จะมีผลขาดทุนกว่า 606 ล้านบาท เป็นไตรมาสที่ผลประกอบการแย่ที่สุดในปี 2555 เนื่องจาก GRAMMY จะต้องตัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปี 2555 รวมทั้งส่วนที่ยังไม่ได้มีการตัดจ่ายในช่วง 9M55 เช่น ค่าลิขสิทธิ์รายการโทรทัศน์ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับระบบการออกอากาศเพย์ทีวี เป็นต้น
เราปรับลดประมาณการผลประกอบการปี 2555 และ 2556 ของ GRAMMY ลงจากเดิมตามแนวโน้มค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องใน 3Q55 โดยคาดว่าปี 2555 GRAMMY จะมีผลขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 401 ล้านบาท จากเดิมคาดขาดทุน 145 ล้านบาท และปรับลดประมาณการกำไรปี 2556 ลงจากเดิม 20% มาอยู่ที่ 316 ล้านบาท ทำให้เราปรับลดมูลค่าเหมาะสมของ GRAMMY ลงจากเดิม 10% มาอยู่ที่ 16.90 บาท (จากเดิมประเมินมูลค่าเหมาะสม 18.80 บาท)
แม้เรามองว่าระดับราคาหุ้น GRAMMY จะถูกกดดันจากกำไร 3Q55 ที่ต่ำกว่าคาดมาก และคาดว่าจะมีผลขาดทุนกว่า 606 ล้านบาท ใน 4Q55 แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” เพื่อรอโอกาสการฟื้นตัวในปี 2556 เนื่องจากเราคาดว่าผลประกอบการของ GRAMMY จะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากทที่ได้ใบอนุญาตประกอบกิจการจาก กสทช. นอกจากนี้ เรามองว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น GRAMMY จากจุดสูงสดในช่วง 5-6 เดือน ที่ผ่านมา ราว 40% ได้สะท้อนต่อปัจจัยลบดังกล่าวบ้างแล้ว
*ธนชาต ชี้ RS แนวโน้มการทำกำไรยังแกร่งแนะซื้อ
บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” RS แม้จะขาดทุนจากลาลีกา แต่อัตราการเติบโตของกำไรยังคงแข็งแกร่งอย่างมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 29% ในปีนี้, 36% ในปี2013F และ 61% ในปี 2014F ซึ่งมีการถ่ายทอดฟุตบอลโลก อีกทั้ง ROE ยังอยู่เหนือระดับ 20% และเพิ่มเป็น 32% ในปี 2014F เราไม่คิดว่าการซื้อขายที่ PE ที่
16 เท่านั้นแพงสำหรับกลุ่มฯ นี้ และจะลดลงมาอยู่ที่เพียง 10x ในปี 2014F

*ฟิลลิป คาด MAJORกำไรปีนี้แตะ 908.70 ลบ.ปีหน้าแตะพันลบ.แนะ“ซื้อเก็งกำไร”
บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ระบุว่า MAJOR กำไรสุทธิ 3Q55 ลดลง 9.36% y-y เป็น 195.13 ล้านบาท ใกล้เคียงคาดที่ 197.26 ล้านบาทรายได้รวมลดลง 7.02% y-y เป็น 1,725 ล้านบาท ใกล้ที่คาดไว้ รายได้จากตั๋วภาพยนตร์ลดลง 12.61% y-y จากภาพยนตร์ที่ทำเงินได้ไม่ดีเท่าปีก่อน รายได้เฉลี่ย/ตั๋วลดลงเล็กน้อยจาก 152 บาท เป็น 151 บาท รายได้จากเครื่องดื่มและอาหารลดลง 2.71% โบว์ลิ่งลดลง 9.53% จากการปิดสาขา ค่าเช่าลดลง 4.88% และรายได้จากการขายวีซีดี/ดีวีดีลดลง 1.10% มีเพียงรายได้ค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น 8.38% ต้นทุนลดลง 5.38% และค่าใช้จ่ายขาย/บริหารลดลง 3.48% จากการเปลี่ยนโรงภาพตร์เป็นระบบดิจิตอล การลดจำนวนบุคลากรจากการปรับระบบงาน และการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น รายได้อื่นโตเล็กน้อยโดยมีการบันทึกประกันภัยน้ำท่วมเข้ามา 24.72 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมลดลง 9.56% ตามกำไรที่ลดลงของ SF และ MJLF
ราคาตั๋วเฉลี่ยมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ต้นทุนมีแนวโน้มลดลงรุกเพิ่มโรงภาพยนตร์มากขึ้น โดยในนปี 2555 เปิดใหม่ 36 โรง เป็น 419 โรง จะเปิดอีก 119 โรงในปี 2556 เป็น 538 โรง โดยตั้งเป้าในปี 2558 จะมี 600 โรง และปี 2563 เป็น 1,000 โรง โดยการขยายจะออกไปต่างจังหวัดมากขึ้น และจะสร้างวัฒนธรรมในการดูภาพยนตร์ไทยเช่นเดียวกับที่อินเดีย เพื่อสร้างตลาดภาพยนตร์ไทยและฐานรายได้ในต่างจังหวัดและจะขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ไปในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในตอนนี้ได้มีการเซ็นสัญญากับผู้ร่วมทุนท้องถิ่นในกัมพูชาแล้ว และเวียดนามที่ได้ไปศึกษาตลาดและหาผู้ร่วมทุนอยู่ ส่วนรายได้/ตั๋วยังคงมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนเป็นโรงดิจิตอลมากขึ้นจากปัจจุบันที่ 200 โรง เป็น 400 โรงในปี 2556 ซึ่งมีราคาตั๋วที่สูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนมีแนวโน้มลดลงทั้งจากจำนวนพนักงานที่ลดลงและการเจรจาขอลดส่วนแบ่งรายได้ให้เจ้าของภาพยนตร์ได้อีก 1-2%
จากผลการดำเนินงานของ MPIC ที่ไม่ค่อยดีนัก ทาง MAJOR อยู่ระหว่างปรับโครงสร้าง โดยอาจมีตัดขายหรือให้ผู้ประกอบการรายอื่นทำให้ส่วนของการขายวีซีดีและดีวีดี เก็บในส่วนของ M39 และจัดซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ โดย M39 ซึ่งเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ในปี 2555 สร้างภาพยนตร์และเข้าฉาย 4 เรื่อง ปี 2556 จะเพิ่มเป็น 8 เรื่อง ธุรกิจโบว์ลิ่งจะมีการปิดสาขาที่ไม่สร้างผลกำไร โดยเปลี่ยนเป็นพื้นที่เช่าหรือขายพื้นที่คืนให้กับเจ้าของพื้นที่ ซึ่งได้มีการทำไปแล้วหลายแห่ง ส่วนเลนโบวลิ่งก็จะขายไปที่อินเดียซึ่งบริษัทร่วม PVR Blu-O กำลังขยายธุรกิจนี้ หรือไม่ก็หาทำเลใหม่เช่นที่จะเปิดที่หาดใหญ่ 16 เลน
ตามที่เคยแจ้งใน 4Q55 มีภาพยนตร์ใหญ่เข้าฉาย James Bond : Sky Fall ฉาย 1 พ.ย. Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 2 ฉาย 15 พ.ย. The Hobbit: An Unexpected Journey 13 ธ.ค. ประกอบกับปีก่อนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ฐานรายได้และกำไรต่ำผิดปกติ ก็จะเห็นการเติบโตที่สูงใน 4Q55 และในปี 2556 ก็ยังคงมีภาพยนตร์ใหญ่ๆจากต่างประเทศ เช่น G.I. Joe : Retaliation, Iron Man 3, Fast Furious Six, Thor: The Dark World, The Hobbit : There and Back Again ภาพยนตร์ไทย เช่น ตำนานสมเด็จนเรศวรมหาราช ภาค 5 – ยุทธหัตถี,ต้มยำกุ้ง รวมถึงภาพยนตร์ของ M39 8 เรื่อง GTH อีก 4-5 เรื่อง จึงยังคงคาดกำไรสุทธิปี 2555 ที่ 908.70 ล้านบาท และในปี 2556 กำไรสุทธิที่ 1,048.10 ล้านบาท แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”

*บิ๊ก MATCH คาดผลงาน Q4/55 โตกว่า Q3/55 ส่วนกำไรทั้งปีฟุ้งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นายสมบุญ ชีวสุทธานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MATCH เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าบริษัทฯ คาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 4/2555 จะเติบโตกว่าไตรมาส 3/2555 ที่มีรายได้อยู่ที่ 139.78 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 13.95 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาสดังกล่าวไม่มีปัญหาด้านการเมืองและปัญหาด้านภัยธรรมชาติเข้ามากระทบธุรกิจ ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมโฆษณา ฉะนั้นจึงคาดว่าจะช่วยสนับสนุนธุรกิจในส่วนของงานอีเว้นท์และธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำของบริษัทฯ ให้ผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้นได้
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคาดว่ารายได้ปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 601.30 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มกำไรคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมากหรือสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แม้รายได้จะไม่เติบโตจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ ปรับโครงสร้างการบริหารจัดการภายใน รวมไปถึงปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ จึงส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
' ส่วนสัปดาห์หน้าบริษัทฯ จะแถลงถึงเป้าหมายและแผนงานของผลประกอบการในปี2556 รวมทั้งความคืบหน้าแนวทางการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องหรือ Free Float ของหุ้น MATCH ที่มีสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นรายย่อยไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง'นายสมบุญ กล่าว

*ตารางแสดงงบการเงินของหุ้นในกลุ่มบันเทิงประจำไตรมาส 3/2555 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2554

ชื่อหุ้น Q3/55 (ลบ.) Q3/54 (ลบ.) เปลี่ยนแปลง (ลบ.) เปอร์เซ็นต์ (%)
BEC 1,268.87 984.30 284.57 28.91
GRAMMY 9.12 182.56 -173.44 -95.0
MAJOR 195.12 215.27 -20.15 -9.36
MATI 6.94 17.97 -11.03 -61.38
MCOT 479.78 360.59 119.19 33.05
NMG 51.95 35.19 16.76 47.62
POST 35.43 41.42 -5.99 -14.46
RS 76.30 45.18 35.12 68.88
SMM -4.66 3.86 -8.52 -20.72
SPORT 8.89 1.79 7.1 396.64
TKS 62.04 78.59 -16.55 -21.05
WORK 136.26 96.66 39.6 40.96
SE-ED 40.31 58.17 -17.86 -30.70
MPIC -29.76 4.30 -34.06 -792.09
LIVE 17.72 -33.49 51.21 152.91
FE 35.46 28.61 6.85 23.94
MATCH 13.95 -4.21 18.16 431.35

รวม 2403.72 2116.76 286.96 13.55


หมายเหตุ : หน่วยเป็นล้านบาท

18/2/57

ศึกษาหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์

หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่

1. aec
2. cgs
3. cns
4. fss
5. gbx
6. kgi
7. mbket
8. tnity
9. uobkh

10.zmico

24/1/57

port & watch list (24 ม.ค. 57)

วันนี้  B   MATCH 2.56 ค่อยๆ ตามดู
 
 
 


หุ้นใน Watch List มี

match,dna,tvd,bch,winner,kiat,gl,ssi,twz,lvt,nusa,lh,lrh,e,arip,ksl,sena,tcj,loxley,

cgs,gland,mc,bol,auct,sis,pl,susco,hmpro,bgt,it,singer,iec,charan,tip,threl,n_park,

se_ed

23/1/57

วาระแห่งฉัน ปี 2557

1.นอนไม่เกิน 22.00 น.

2.ตื่นนอน ไม่เกิน 6.30 น.

3.ออกกำลังกาย 3ครั้ง/week  (วาระแห่งฉัน ปี 2556 แย่มากกก
 
ไม่ได้ทำเลย ไม่สามารถชนะใจตัวเองได้ ปีนี้ต้องเริ่มใหม่ให้ดี

กว่าเดิม )

4.เขียนหนังสือ อย่างน้อย 1 เรื่อง

5.เริ่ม "หวานไทย"

6.ทบทวนหลักการลงทุนใหม่ทั้งหมด (fundamental + technical)

7.ทริปมาเลเซีย เมษา

8.ทริปออสเตรเลีย ตุลา

Increase knowledge 23 ม.ค. 57 (ปริมาณเงิน M1,M2)

เงิน (money) เป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และเป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมยอมรับ

หรือ เงิน หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เป็นสิ่งที่สามารถใช้จ่ายในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ รวมถึงใช้ในการชำระหนี้และอื่นๆ ได้ตามต้องการ

ปริมาณเงิน M1 หรือปริมาณเงินตามความหมายแคบ (Narrow Money) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน ประกอบด้วย ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ในมือประชาชนและเงินฝากกระแสรายวันหรือเงินฝากเผื่อเรียกของประชาชนที่ระบบธนาคาร(เช็ค) Cheque

M1 = Money / Coins + Demanded Deposit

เงินในความหมายแคบ (Narrow Money) = ธนบัตร + เหรียญกษาปณ์ + เงินฝากกระแสรายวัน


ปริมาณเงิน M2 หรือปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน นอกจากประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ในมือประชาชนและเงินฝากเผื่อเรียกแล้ว ยังรวมเงินฝากประจำและออมทรัพย์ที่ระบบธนาคารอีกด้วย

M2 = M1 + Fixed Deposit + Saving Deposit

ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) = M1 + เงินฝากประจำ + เงินฝากออมทรัพย์


ปริมาณเงิน M2a (Broad Money M2a) หมายถึง ปริมาณเงินที่อยู่ในมือประชาชนเป็นความหมายกว้างขึ้น โดยรวมปริมาณเงิน M2 และตั๋วสัญญาใช้เงินหรือนัยหนึ่งคือ เงินที่บริษัทเงินทุนฯ รับฝากจากประชาชน

M2a = M2 + P/N Note

ปริมาณเงิน M3 หรือ ปริมาณเงินตามความหมายที่กว้างที่สุด (Broad Money M3) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชนในรูปของเงินสด เงินฝากทุกประเภทของสถาบันการเงินที่รับฝากจากประชาชน ซึ่งรวมถึงเงินฝากในรูปของตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุน

M3 = Money / Coins + Demanded Deposit +Fixed Deposit + Saving Deposit + P/N
 

[เสด-ถะ-สาด].com

Creative Thailand สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์

อัดเดทเนื้อหาล่าสุดจาก INCquity

Salween News Online : สาละวินนิวส์ออนไลน์

1000 Awesome Things

The Prospect Group

Financial Times - Asia

About.com Investing for Beginners

About.com Investing for Beginners: Most Popular Articles

Listing of recent news from Hong Kong Trade Development Council

USA.gov Updates: News and Features

Trading Economics

Morningstar Articles

Biography.com - Weekly Listings for January 27 - February 02

Biography.com - On This Day Headliners

REW Blogs : Real Estate Webmasters Blogging Platform

Food.com: Newest recipes

ISE Announcements

IMD Business School - Tomorrow's Challenges Articles

IMD MBA Blogs : MBA Blog class of 2013