18/4/56

หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้


ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ chodechai@fpo.go.th
กรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2549

หลังจากที่รอคอยกันมานาน ผมได้คัดเลือกหนังสือดีที่ควรอ่านในชีวิตนี้ 9 เล่ม โดยเป็นหนังสือที่ผมได้เลือกจากหนังสือที่เคยอ่าน ในช่วงตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก และเป็นหนังสือที่ได้จากการแนะนำของศาสตราจารย์ ผู้รู้ นักคิด นักวิชาการในสมัยที่อยู่ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี หากท่านอยากจะได้หนังสือดีมีคุณค่าและช่วยสร้างพลังความคิด นี่คือหนังสือ 9 เล่มที่ควรเก็บไว้อ่านในชีวิตนี้

1.หนังสือเรื่อง The Wealth of Nations โดย Adam Smith ผู้ซึ่งได้ทำให้เศรษฐศาสตร์กลายเป็นสาขาวิชาที่สำคัญที่สุดสาขาหนึ่ง เขาได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ หนังสือของเขาสอนให้เรารู้ว่าเศรษฐกิจของประเทศทำงานอย่างไรด้วยมือที่มองไม่เห็น Invisible Hand

2.หนังสือเรื่องLombard Street : A Description of the Money Market ผู้แต่งคือ Walter Bagehot เป็นหนังสือคลาสสิก ที่ให้หลักคิดด้านเศรษฐศาสตร์ ในเรื่องหลักของเงิน ธนาคารและระบบการเงิน หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้อ่านที่ต้องการเข้าใจพฤติกรรม และกลไกตลาดการเงิน ความสัมพันธ์กับการค้าและระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งวิกฤตการณ์ทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อเกิดวิกฤติศรัทธาในระบบธนาคาร หรือความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางหายไป ตลอดจนการบริหารจัดการกับความเสี่ยงและวิกฤติการเงินที่ถูกต้อง หนังสือเล่มนี้เขียนเมื่อปี ค.ศ.1873 หรือกว่า 133 ปีที่แล้ว แต่หลักคิดยังใช้ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีสร้างความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน และหลักที่ธนาคารกลางควรใช้ ในการจัดการกับวิกฤตการณ์ทางการเงิน และยังเสนอให้ใช้ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นอิสระเป็นผู้บริหารธนาคารกลางของประเทศ (แทนบุคคลภายในธนาคารกลางเอง) Lombard Street เป็นชื่อของย่านธุรกิจการเงินในกรุงลอนดอน และเป็นที่เกิดของตลาดการเงินที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

3.หนังสือเรื่อง The Competitive Advantage of Nations และ Competitive Strategy โดย Michael Porter ซึ่งอธิบายถึง ความได้เปรียบในเชิงแข่งขันได้มาจากองค์กรที่ต้องทำตัวให้พร้อมในการปรับตัวเข้ากับสภาวการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้น และความตระหนักรู้ในตลาดที่ตนอยู่และปรับตัวกับตลาดนั้นได้มากเท่าไร Porter ได้คิดค้นพัฒนากลยุทธ์ทั่วไป (Generic Strategies) และกำหนดปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแข่งขัน (Competitive Forces) 5 ประการ ซึ่งสามารถนำไปใช้ กับอุตสาหกรรมต่างประเภท 5 กลุ่ม ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ยังเปราะบาง เพิ่งเกิดใหม่ เติบโตเต็มที่ ตกต่ำ และอุตสาหกรรมระดับโลก แนวคิดของ Porter มีความชัดเจน มีเหตุมีผลที่มิอาจปฏิเสธได้ เพื่อตรวจสอบ ขีดความสามารถเชิงแข่งขัน ภายในองค์กร Porter สนับสนุนให้ใช้เครือข่ายแห่งคุณค่า (Value Chain) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์กระบวนการและปฏิสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ขององค์กร เพื่อกำหนดออกมาให้ได้ว่า ตรงจุดไหนสามารถเพิ่มคุณค่าให้แก่สินค้าหรือบริการและเพิ่มอย่างไร ในหนังสือเรื่อง The Competitive Advantage of Nations Porter ศึกษาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจของโลก 8 แห่ง พบว่า บริษัทในประเทศใดก็ตาม ที่สภาวะการแข่งขันในตลาดภายในประเทศของตนเองมีความเข้มข้นมากที่สุด มักจะมีแนวโน้มปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เร็วที่สุด Porter ได้วางกรอบแนวคิดว่าด้วย National Diamond โดยระบุปัจจัย 4 ประเภท ที่มีอิทธิพลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศชาติอันได้แก่ ทรัพยากร อุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนกัน ลูกค้าที่มีอุปสงค์มาก (หรือตลาดภายในประเทศ ที่มีความต้องการมาก) และการแข่งขันภายในประเทศ หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ผมชอบมากที่สุดเล่มหนึ่ง

4.หนังสือเรื่อง The Fifth Discipline โดย Peter M. Senge ผู้ผลักดันศัพท์องค์กรแห่งการเรียนรู้ The Learning Organization โดยให้แนวคิดที่สำคัญที่องค์กรต้องตระหนักถึงภัยคุกคามและโอกาส วินัยต่างๆ ที่พนักงานและองค์กรต้องมี เพื่อเปลี่ยนองค์กรที่ด้อยประสิทธิภาพให้กลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วย 5 หลักแนวคิด System Theory, Personal Mastery, Mental Models, Shared Vision และ Team Learning

5.หนังสือเรื่อง Chasing Daylight : How My Forthcoming Death Transformed My Life โดย Eugene O Kelly หนังสือเล่มนี้แต่งโดยผู้เขียนซึ่งเป็นประธาน และเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดของบริษัทที่ปรึกษาการเงิน และบัญชี ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บริษัท KPMG ผู้ซึ่งหมอบอกว่า เขามีมะเร็งในสมองและเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 100 วัน เขาจึงใช้เวลาในช่วงที่เหลืออยู่นั้น เขียนหนังสือเล่มนี้ สอนให้คนอ่านรู้ว่าทำอย่างไรถึงจะอยู่อย่างมีความหมาย ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้นก็ตาม เขาเปรียบความตายที่กำลังจะมาเยือนเหมือนกับเกมของกอล์ฟที่กำลังจะจบลง ณ สิ้นวัน ในขณะที่การเล่นกอล์ฟกำลังดำเนินไป ตะวันเริ่มงวดลง เงาของแสงตะวันทอดยาวขึ้น ผู้เล่นไม่ต้องการให้เกมจบลง พวกเขาเล่นแข่งกับแสงตะวันที่กำลังงวดลง เหมือนกับการไล่ล่าแสงตะวัน ในขณะที่เกมกำลังจะจบลง ด้วยข้อคิดที่ยอดเยี่ยมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หากท่านยังไม่เคยอ่านหนังสือที่คนเขียนได้เขียนในขณะที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ท่านควรลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดู

6. หนังสือเรื่อง A Random Walk Down Wall Street โดย Burton G. Malkiel เป็นหนังสือที่ให้แนวคิดด้านการลงทุนที่ไม่ได้เขียนโดยนักขาย "Salesman" แต่เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์การเงิน "Financial Economist"เป็นหนังสือที่สอนด้านการลงทุนที่ดีที่สุด ตั้งแต่ยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์ จนถึงการล่มสลายของธุรกิจดอทคอม "Random Walk" หมายความว่า ราคาของหุ้นในระยะสั้นไม่สามารถทำนายได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ นักลงทุนที่ไม่พยายามทำกำไรจากการทำนายการเคลื่อนไหวของตลาด สามารถทำกำไรได้มากกว่านักเก็งกำไร ที่พยายามทำกำไรจากการทำนายระยะสั้น นักลงทุนควรอ่านหนังสือเล่มนี้ทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน

7. หนังสือเรื่อง Blue Ocean Strategy โดย W. Chan Kim และ Renee Mauborgne หนังสือเล่มนี้ให้หลัก และแนวคิดที่เป็นระบบ แต่ไม่เหมือนใครในการกำหนดกลยุทธ์ ที่ทำให้การแข่งขันจากภายนอกลดลง และผลตอบแทนมากขึ้น โดยอิงกับงานวิจัยที่เชื่อถือได้ เป็นหนังสือที่ผู้ประกอบการทั้ง SME และรายใหญ่ควรอ่านเป็นอย่างยิ่งครับ

8. หนังสือเรื่อง Prisoners Dilemma โดย William Poundstone เป็นหนังสือที่ให้มุมมองแบบ 3 มิติของทฤษฎี Game Theory โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณี Prisoners Dilemma ที่ทำให้ผู้อ่านได้คิดอย่างลึกซึ้ง และยังถ่ายทอดปรัชญาความคิด ของนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง John Von Neumann

9. หนังสือเรื่อง In Search of Excellence โดย Tom Peters และ Robert Waterman เป็นหนังสือด้านการจัดการที่ทรงอิทธิพล และปลุกเร้าความคิดที่มุ่งหาความเป็นเลิศ เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

หากท่านอ่าน 9 เล่มนี้จบแล้ว และยังมีเวลาพอสมควร ท่านน่าจะพิจารณาอ่านหนังสืออีก 11 เล่ม ดังต่อไปนี้

- The Singapore Story : Memoirs of Lee Kuan Yew โดย Lee Kuan Yew

- Development as Freedom โดย Amartya Sen ผู้ซึ่งได้รับรางวัล Nobel Prize สาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี 2540 ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเอเชีย

- The General Theory of Employment, Interest and Money โดย John Maynard Keynes

- Financial Shenanigans โดย Howard Schilit เป็นหนังสือที่สอนให้เราจับกลโกงทางการเงิน รวมทั้งงบการเงินและการบัญชี

- Capitalism and Freedom โดย Milton Friedman ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และเพิ่งเสียชีวิตเมื่อเร็วๆ นี้

- Input-Output Economics โดย Wassily Leontief ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1973 หนังสือที่อธิบายถึงผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงในภาคหนึ่งของเศรษฐกิจต่อภาคอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ

- Co-Opetition : A Revolution Mindset that Combines Competition and Cooperation : The Game Theory Strategy thats Changing the Game of Business โดย Adam M. Brandenburger และ Barry J. Nalebuff

- The Moral Consequences of Economic Growth โดย Benjamin M. Friedman ที่อธิบายถึงผลกระทบของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกระแสโลกาภิวัตน์

- Fisher Black and the Revolutionary Idea of Finance โดย Perry Mchrling ท่านที่ชอบหนังสือเล่มนี้ ควรอ่านหนังสือเรื่อง My Life as a Quant : Reflections on Physics and Finance โดย Emanuel Derman

- Small is Beautiful : Economics as if People Mattered โดย E.F. Schumacher เป็นหนังสือคลาสสิกเล่มหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจขนาดเล็กก็ยอดเยี่ยมได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่โตมากมาย และหลักเศรษฐศาสตร์ที่ดีต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

17/4/56

โลกอนาคตจากการพยากรณ์ของเรย์ เคิสเวล


1) สมองเราจะเชื่อมต่อกับคลาวด์ทำให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้แม้อายุมาก 
 
 2) เราจะสามารถเลือกลบความจำบางช่วงได้

 3) ปี 2029 คอมพิวเตอร์จะฉลาดเท่ามนุษย์

 4) การพิมพ์สามมิติ เช่น พิมพ์เสื้อผ้า ของเล่นจะแพร่หลายมาก

 5) ปี 2030 นาโนบอทจะซ่อมอวัยวะมนุษย์ได้

 6) ปี 2037 คอมพ์ฯ ขนาดเท่าเม็ดเลือดจะเชื่อมกับสมองได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

คลื่นลูกที่ 1,2,3,และ 4 ต่างกันอย่างไร

คลื่นลูกที่หนึ่ง (First Wave) :  เป็นช่วงเวลาที่สังคมมนุษย์ปฏิวัติระบบ เศรษฐกิจด้วยการรู้จักการทำ “เกษตรกรรม”   ซึ่งการที่มนุษย์รู้จักการทำ กสิกรรม ปลูกพืชเป็นไร่ เลี้ยงสัตว์เป็นฟาร์ม สิ่งที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ของประเทศนั้นๆ  จะขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่แปลงเกษตร การครอบครองพื้นที่ การทำฟาร์ม ปริมาณผลผลิตที่ได้จากการปศุสัตว์และการเกษตรกรรม สิ่งเหล่านี้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจของชาตินั้นๆ เติบโตแข็งแกร่ง
 
 
คลื่นลูกที่สอง (Second Wave) : สังคมมนุษย์ปฏิวัติระบบเศรษฐกิจด้วย “อุตสาหกรรม” ในช่วงเวลาปี 1650-1750 มนุษย์รู้จักการใช้เครื่องมือ(Machines) การทำสายการผลิต (Production line) สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเหมือนกันจำนวนมากๆ ได้และมีคุณภาพเหมือนกัน (Quality control) และสามารถผลิตจำหน่ายจำนวนมากๆ ได้ (Mass Production) สิ่งที่ขับเคลื่อนการเติบโต ของเศรษฐกิจประเทศใดๆ นั้น ขึ้นอยู่กับการทำ Mass Production ควบคุมมาตรฐานในการผลิตสินค้าจำนวนมากๆ ได้และผลิตจำนวนมากได้
 
 
คลื่นลูกที่สาม (Third Wave) : คลื่นลูกที่สาม (Third Wave) คลื่นลูกที่สาม (Third Wave) เป็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ด้วยการปฏิวัติ ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งได้เริ่มต้นราวๆ ปี 1955 ด้วย เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายโทรคมนาคม จนกลายเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ดังในโลกยุคปัจจุบันที่เรียกกันทั่วไปว่า เป็นคลื่นลูกที่สาม (Third Wave) หรือการปฏิวัติ “การสื่อสารโทรคมนาคม” หรือยุคโลกาภิวัฒน์ สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศใด ให้มีความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรืองจะขึ้นอยู่กับการมี “เครือข่าย ที่มีประสิทธิภาพสูง” (High Performance Network) เครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ
สูงจะสร้างให้เกิดความเจริญก้าวหน้าของประเทศในทุกด้าน
 
 
คลื่นลูกที่สี่:คลื่นลูกที่สี่ ตอนนี้โลกกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคที่สี่แล้ว บางคนบอกว่ายุคนี้จะเป็นยุค KM (Knowledge Management) คนที่สามารถคัดเลือก information ที่ดี เป็นจริง มาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าก็มีโอกาสพัฒนามากกว่า สังคมจะมีการป้อนข้อมูลที่เร็วขึ้นๆ การปิดกั้นหรือเลือกเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่ต้องการเท่านั้นจะหายไป ฉะนั้นพวกเราเตรียมตัวที่จะรับการเปลี่ยนแปลงหรือยัง

 
ที่มา : http://www.authorstream.com/Presentation/aSGuest37523-318853-third-wave-education-ppt-powerpoint/

10 ไอเดียเล่นหุ้นให้รวยปี 2556

“10 Money-making Investment Ideas for 2013” โดย Jonathan Burton- Market Watch

“ 10 ไอเดีย..เล่นหุ้นให้รวยปี 2556” ตอนที่ 1




ข้อหนึ่ง หุ้นยักษ์ใหญ่…ยังคงใหญ่ต่อไป
Mary Ann Bartels นักวิเคราะห์จาก Bank of America มองว่า
“ผู้นำคนใหม่ในตลาดหุ้น…
ก็ยังคงเป็น…หุ้นยักษ์ใหญ่อยู่ดี”



   หุ้นยักษ์ใหญ่ หรือหุ้นที่มีมูลค่าการตลาดสูงที่สุด 50 อันดับแรกของตลาด
Bartels กล่าวว่า “ตลาดหุ้นของอเมริกา..ตกต่ำมาตลอดตั้งแต่ปี 2000”
แต่จากนี้ไป.. ตลาดหุ้น..จะเข้าสู่ภาวะ…กระทิง อีกครั้งหนึ่ง
โดยครั้งนี้ หุ้นยักษ์ใหญ่…เท่านั้น ที่จะก่อให้เกิด ภาวะกระทิงได้”



  ในขณะที่ Paul Nolte กรรมการผู้จัดการ ของ Dearborn Partners
กล่าวถึง “หุ้นยักษ์ใหญ่” ว่า …
“หุ้นยิ่งใหญ่.. ยิ่งดี..” นอกจากนั้นยังกล่าวเสริมด้วยว่า
“ในยามที่เศรษฐกิจซบเซา บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้น..
ก็จะสามารถทนแรงกระแทก..ได้ดีกว่า…”



ข้อสอง บริษัทที่มี…คุณภาพสูง…ก็ยังคงมี “คุณภาพสูง” ต่อไป
คำว่า “คุณภาพ” ในที่นี้หมายถึง มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
รายได้ในอนาคต..ค่อนข้างแน่นอน
และมีศักยภาพในการแข่งขันสูง
และยัง.. “จ่ายเงินปันผล..ได้มาก” ทำให้ “คุณภาพ” ของบริษัทนั้นๆ…. ยิ่งดูดี



    Savita Subramanian จากธนาคาร Bank of America
หุ้นที่มีคุณภาพสูง โดยมาก…. ราคาจะยังไม่แพง…เมื่อเทียบกับคุณภาพ
บริษัทเหล่านี้..มักจะเป็นผู้นำตลาด และมีการเปิดเผยข้อมูลเป็นอย่างดี
ถ้านึกไม่ออก ก็ให้นึกถึง… Pepsi, IBM, Caterpillar เป็นต้น



    Brian Belski หัวหน้านักลงทุนเชิงกลยุทธ์ ที่ BMO Capital Markets กล่าวไว้ว่า
หุ้นที่มีคุณภาพ + อัตราการเจริญเติบโตที่ดี = ความมั่นคง
“เมื่อทุกอย่างเริ่มผันผวน..ไม่แน่นอน
นักลงทุนก็มีแนวโน้มที่จะ…ยอมจ่ายแพง…เพื่อให้ผลตอบแทน…ที่แน่นอน”



หุ้นที่ Belski กล่าวถึงก็คือ…
Google Inc., Starbucks Inc., หรือ GAP เป็นต้น
หุ้นเหล่านี้ มีแนวโน้มที่จะเป็นหุ้นพื้นฐานของนักลงทุน
กล่าวคือ กิจการเหล่านี้จะขายได้ทุกวัน…ไม่ว่า เศรษฐกิจ…จะดี …หรือจะเลว ?



ข้อสาม หุ้น..ปันผล…งามๆๆ
Nolte ยังให้ข้อคิดด้วยว่า “เงินปันผล นั้น…สำคัญ”
“แต่หุ้นที่ปันผลดี…ราคาถูกๆ แทบจะไม่มีเหลือ..อยู่ในตลาดเลย”
จริงๆแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่…. ไม่ค่อยสนใจ “เงินปันผล”
แต่เขาสนใจ “ส่วนต่าง” ราคาหุ้น…ต่างหาก



  หากเรามองหา.. “บริษัทที่จ่าย..เงินปันผล..งามๆๆ”
เราอาจจะมีโอกาสเจอ… “ภาพลวงตา” ก็เป็นได้
อะไรคือ.. ภาพลวงตา..ที่ว่า
ภาพลวงตา ก็คือ..
เพียงเพราะ..อยากได้ “เงินปันผล” เราจึงซื้อหุ้นปันผล.. ในราคาที่.. “แพงเกินไป”



ข้อสี่.. เมื่อหุ้นในยุโรป.. จะกลับมาแล้ว
เมื่อปีที่แล้ว หุ้นในกลุ่มประเทศยูโรโซน..ในยุโรป
ราคาร่วง…กันเป็นทิวแถว
แต่ตอนนี้..หลายอย่างกำลังดีขึ้น
ดูได้จาก ราคาหุ้นจากกลางปีถึงปลายเดือนธันวาคม..ปีที่แล้ว ขึ้นมาเกือบ 20%



นอกจากนั้น ผลสำรวจของ Russell พบว่า
2 ใน 3 ของผู้จัดการกองทุนมองว่า…
เศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน.. “กำลังจะดีขึ้น”
และมากกว่าครึ่งหนึ่ง บอกว่า “อย่างน้อย…ก็ยังรักษาระดับเดิมไว้ได้”
ขณะที่ Paul Nolte คิดว่า “ประเมินภาพตลาดหุ้นยุโรปโดยรวม.. ราคา…ไม่แพงเลย”



ข้อห้า.. เมื่อ จีน..จะกลับมา “ยิ่งใหญ่” อีก
ในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเอง…ก็แย่
จึงไม่ได้แสดงบทบาท..อะไร ในการช่วยเศรษฐกิจโลก
นักกลยุทธ์ ที่ Russell Investment คาดการณ์ว่า…



จีน..จะสามารถ รักษาอัตราการเจริญเติบโตไว้ได้ที่ 8%
และมีแนวโน้มสูงที่จีนจะ.. “ทำได้ดีกว่า..ที่คาด”
นอกจากนั้น จากการสำรวจพบว่า
62% ตอบว่า ผู้นำคนใหม่จีน…จะสามารถ
นำจีน และประเทศต่างๆในเอเชีย ให้มีเศรษฐกิจ “ดีขึ้น” ตามไปด้วย



  Alberto Ardes นักเศรษฐศาสตร์จาก Merrill Lynch ให้ความเห็นว่า
หุ้นที่แข็งแรง… จะต้องมาจาก “หุ้น..ที่มีผู้บริโภค..จำนวนมากๆ”
ในขณะที่หุ้นของบริษัทข้ามชาติ จาก สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น
ก็จะเป็น “หุ้นชั้นดี” ที่จะช่วยเศรษฐกิจของชาติเหล่านี้ด้วย เช่นกัน




ข้อที่หก ซื้อ… “ทองคำ”
นักวิเคราะห์จาก เมอร์ริล ลินช์ ชี้ว่า…
ราคาทองคำในสิ้นปี 2556 น่าจะไต่ไปถึง.. 2,000 ดอลลาร์ ต่อทรอยออนซ์
หรือสูงขึ้น 20% จากราคาที่เป็นอยู่ในเวลานี้



  สาเหตุมาจาก “นโยบาย Easy Money”
ฟรานซิสโก บลานช์ แห่ง เมอร์ริล ลินช์ ได้ให้เหตุผลสนับสนุนว่า
บรรดารัฐบาลทั่วโลกได้อัดฉีดเงินเข้าระบบ นับจากมาตรการผ่อนคลานทางการเงิน QE ของอเมริกา
การอัดฉีดเงินเข้าระบบของ ธนาคารกลางยุโรป และญี่ปุ่น
สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ “ราคาทองคำ” พุ่งสูงขึ้น



  สิ่งที่น่าคิด…สำหรับราคาทองคำก็คือ มันจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น
บลานช์ กล่าวว่า ราคาทองคำจะไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ
สิ้นปี 2557 ราคาทองคำ..น่าจะไต่ไปถึง 2,400 ดอลลาร์ ต่อทรอยออนซ์
หรือขึ้นเกือบ 50% จากราคาในเวลานี้
และแร่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เงิน (ซิลเวอร์) หรือ แพลทตินั่ม ก็จะพลอยได้รับ “อานิสงส์” ด้วย



ข้อที่เจ็ด ราคาอสังหาฯ… “กลับมาแล้ว”
ปี 2551 เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในอเมริกา
และทำให้ราคาอสังหาฯ บางพื้นที่ตกลงกว่า 50%
ในเวลานี้ ราคาอสังหาฯต่างๆ..กลับมาแล้ว
จำนวนยอดขายบ้าน..พุ่งขึ้น ขณะที่บ้านค้างสต็อค..ลดลง



สิ่งที่สำคัญที่สุด.. อัตราดอกเบี้ยลดลง
และอัตราดอกเบี้ยยังลดลง “ต่ำที่สุด” เป็นประวัติการณ์
ในการสำรวจของบริษัท รัสเซลล์ ยังพบว่า
61% ของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่า…
ทุกอย่างๆสำหรับอสังหาริมทรัพย์.. ในปี 2556..จะไปได้ดีมาก



  การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นี้ ก็จะ..สร้างงาน อย่างมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง และอุตสาหกรรมการเงิน
นอกจากนั้น ตัวเลขการออก…กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) พบว่า
จนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2555 เพิ่มสูงขึ้นถึง 17%
สาเหตุเป็นเพราะว่า ผลตอบแทนของกองทุนฯ… พุ่งสูงขึ้น นั่นเอง



กลยุทธ์ก็คือ ควรซื้อหุ้นของ “บริษัทขายวัสดุก่อสร้าง” และ “บริษัทที่เกี่ยวกับอสังหาฯ”
เพื่อให้ง่าย.. ในบ้านเมืองไทย ให้เปรียบเทียบกับ..
บริษัทวัสดุก่อสร้าง: SCC Homepro Global เป็นต้น
บริษัทอสังหาฯ PS, LH, SIRI….
เครือโรงแรมฯ ERW, CEN, MINT…..



  ข้อที่แปด อุตสาหกรรม… จะกลับมาด้วย
เมอร์ริล ลินช์ ยังได้แนะนำเพิ่มเติม..เกี่ยวกับ…หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม
โดยหุ้นในกลุ่มที่จะดีขึ้นนี้ จะต้องเป็น “หุ้น..คุณภาพสูง” (High-quality Stocks)
ซึ่งหนีไม่พ้น “หุ้นขนาดยักษ์ใหญ่” อีกเช่นกัน



  ยกตัวอย่างเช่น หุ้น Caterpillar
ซึ่งทำ..รถขุด รถตักดิน อื่นๆ รายใหญ่ที่สุดในโลก
นักวิเคราะห์ อีกรายคือ S&P Capital IQ ก็กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า
หุ้นบริษัทขายวัสดุก่อสร้าง และปรับปรุงบ้าน ยังจะ..ดีต่อไป
ในขณะที่ให้เก็บหุ้นกองทุน SPDR (หุ้นทองคำ) และหุ้นกองทุนอุตสาหกรรม อย่าง Vanguard



ข้อที่เก้า เมื่อ โทคโนโลยี่..ยังมาแรง
หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ในปี 2555 ที่ผ่านมา ได้ไปสร้างรายได้ในต่างประเทศ..จำนวนมหาศาล
ปัจจุบัน..บริษัทเทคโนโลยี เหล่านี้ จะมีจุดที่เด่นมากคือ
บริษัทเหล่านี้ ..จะมีเงินสดจำนวนมาก ..มีหนี้น้อย ..และจ่ายเงินปันผล



  ด้วยสัญญาณ..ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของ..สหรัฐอเมริกา
ด้วยสัญญาณ..เศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นใน..ยุโรป
จึงคาดได้ว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี..ที่มีศักยภาพสูง ในปัจจุบัน
จะสามารถ..กวาดตลาดได้เพิ่มขึ้นในทั้งสองตลาด
นั่นหมายถึง ราคาที่เพิ่มขึ้นของ “หุ้นโทคโนโลยี” นั่นเอง



นักวิเคราะห์จาก Turner Investment ยังเสริมด้วยว่า
บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง เช่น Apple
จะเผชิญกับ “ความเสี่ยง..ในแง่บวก”
นั่นคือยังมีความเสี่ยงสูงอยู่… แต่..
ถ้าหาก..สำเร็จ ยอดขายของ Apple จะเพิ่มขึ้นอีก 25% ทุกปี ไปอีกหลายปี



  ข้อที่สิบ ซื้อ “หุ้นปันผลที่ดีที่สุด…10 อันดับแรก”
หากเพื่อนๆ ยังคงที่จะอยากมีรายได้จาก..
“เงินปันผล” และ “ส่วนต่างมูลค่าหุ้น” แล้ว
ให้ซื้อ “หุ้นขนาดใหญ่” ที่มีการจ่ายเงินปันผลดีที่สุด 10 อันดับแรก



  สาเหตุเป็นเพราะ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า
ในปี 2555 หุ้นปันผลขนาดเล็ก ให้ปันผลประมาณ 7%
ขณะที่ หุ้นปันผลขนาดใหญ่ พบว่า…
หุ้นปันผลขนาดใหญ่ 30 อันดับแรก ให้เงินปันผลเฉลี่ยสูงถึง 9%



  บรรดาหุ้นดังกล่าว มีบางส่วนที่คนำไทยรู้จัก เช่น
AT&T, McDonald, HP, Microsoft, Pfizer, Verizon (หุ้นโทรศัพท์มือถือ)
นอกจากนั้นก็เป็นหุ้นกองทุน…
ที่มีนโยบายลงทุนใน..หุ้นขนาดใหญ่..แทบทั้งสิ้น



   และนั่นคือ “10 ไอเดีย..เล่นหุ้นให้รวย ปี 2556”
เวลานี้ ดัชนีตลาดฯ..ทำลายสถิติ…แทบไม่เว้นวัน
ก็ขอให้เพื่อนๆ..ระมัดระวัง…ด้วยนะครับ
โชคดีนะครับ…
Credit :  www.doctorwe.com

ทุกวิกฤตคือเวลาสะสม Asset

คนส่วนใหญ่แห่เข้าอะไรต้องระวัง  
 
และ ถ้าคนส่วนใหญ่หนีตายจากอะไรควรเข้าไปดู
 
เพราะในทุกครั้งที่คนแตกตื่น
 
มักจะมีโอกาสทองให้นักลงทุนเสมอ
 
ทุกวิกฤตคือเวลาสะสม Asset

5/4/56

ฟองสบู่

ในตลาดหุ้นที่เป็นฟองสบู่เกือบทุกครั้งนั้น
 
 เราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นฟองสบู่
 
จนถึงวันที่มันแตกนั่นแหละ
 
ที่เราถึงรู้ว่ามันคือฟองสบู่

4/4/56

หุ้นรวยได้กับสุดยอดกูรูนักลงทุนเน้นคุณค่า คุณอนุรักษ์ บุญแสวง

24 มีนาคม 2556 ณ ม.นเรศวร จ.พิษณุโลก

ขอบคุณพี่โจ สำหรับการสละเวลา และแบ่งปันความรู้ในครั้งนี้ ขอบคุณมากๆ ครับพี่
ขอบคุณพี่บี น้องชิว และทีมงาน Thai VI LowerNorth ทุกท่าน ที่ทำให้งานนี้เกิดขึ้นครับ
หากมีข้อผิดพลาดใดๆ ในเนื้อหาที่สรุปนี้ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

PART 1 การวางแผนการเงิน

ความสำคัญของเงิน
ทำไมคนอยากเรียน จุฬาฯ ธรรมศาตร์ ทำไมน้องตั๊กแต่งงานกับคุณบุญชัย ทำไมในคุกมีแต่คนจน >> เงินก็ยังสำคัญ
เงินเป็นทาสที่ดีแต่เป็นนายที่เลว

บางคนพอใจ 15000 บาท/เดือน แต่บางคนพอใจ 15000 บาท/ชั่วโมง You are what you believe
(จากประสบการณ์พี่โจ คุณจะเป็นในแบบที่คุณคิด ด้วย ใจ+สมอง)

เงินเฟ้อ ศัตรูที่มองไม่เห็น
ทรัพยากรจำกัด ประชากรเพิ่ม สินค้าแพง
เงินเฟ้อ ปีละประมาณ 5% ทุก 15-16 ปี สินค้าจะแพงขึ้นเท่าตัว ข้าวราดแกงอาจจะจานละ 100 บาทในอีก 22 ปี
เงินเฟ้อ 5 % ดอกเบี้ยเงินฝาก 2% ขาดทุกเงินฝากทุกปี >> ฝากธนาคารเสี่ยงที่สุด

คนไทยอายุเฉลี่ย 74 ปี สมมุติว่า เกษียณ ที่อายุ 55 แสดงว่าต้องมีชีวิตอยู่อีก 15-20 ปีโดยไม่มีรายได้
เวลาทำงาน สมมุติว่า เริ่มทำอายุ 22-23 มีเวลาทำงาน 38 ปี แต่ต้องมีเหลือเผื่อตอนเกษียณด้วย
เงิน 1 ล้านในวันนี้ อีก 25 ปี จะมีค่าเหลือแค่ 212,000 บาท
ในอนาคต ค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้นมากที่สุด
โรคที่คนจนห้ามเป็น มะเร็ง เบาหวาน หลอดเลือด ไต เนื่องจากค่ารักษาสูงมาก
เงินใครว่าไม่สำคัญ บางครั้งก็ซื้อได้แม้กระทั่งความเป็นความตาย

วิถีคนยุคใหม่
ไม่แต่งงาน : ทำงาน 1 เลี้ยง 3 (ตัวเอง พ่อ แม่)
แต่งงาน เมียเป็นแม่บ้าน มีลูก 1 : ทำงาน 1 เลี้ยง 7 (ตัวเอง ลูก เมีย พ่อ แม่ พ่อเมีย แม่เมีย)
สังคมมีแนวโน้มเป็นสังคมผู้สูงอายุ

คนส่วนใหญ่ทำงานเพื่อเงิน
คนส่วนน้อย ทำงานเพื่อเงิน และให้เงินทำงาน

เงินจะทำงานได้ดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับแก้ว 3 ประการ
1 เงินเริ่มต้น
2 ระยะเวลา
3 ผลตอบแทน

ไอสไตน์ บอกว่า The most powerful force in the universe is compound interest

สมการการทบต้น หรือ สมการเปลี่ยนชีวิต
A*(1+R)N
A เงินต้น
R ผลตอบแทนต่อปี
N จำนวนปีที่ลงทุน

ถ้าต้องการให้ เงิน 300,000 เป็น 100 ล้าน ทำได้ดังนี้
ฝากธนาคาร ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ใช้เวลา 294 ปี
ลงทุนหุ้น ผลตอบแทน 11% ต่อปี ใช้เวลา 56 ปี
ลงทุนหุ้น ผลตอบแทน 64% ต่อปี (พี่โจผลตอบแทนประมาณนี้) ใช้เวลา12 ปี

ผลตอบแทนแบบทบต้น จะเหมือนการเติบโตของต้นไม้ ที่เวลาแตกกิ่ง จาก 2 เป็น 4 เป็น 8 เป็น 16

ผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2518-2554
หุ้น 60 เท่า (ถ้านับถึงปัจจุบัน น่าจะประมาณ 90 เท่า (12% ต่อปี)
พันธบัตร 24 เท่า
ฝากธนาคาร 10 เท่า (ปีหลังๆ ดอกเบี้ยต่ำ)
ทองคำ 8 เท่า
สรุปว่า หุ้นดีที่สุด แต่ผันผวนมากที่สุด

ลงทุนหุ้น อย่าเล่นหุ้น
ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อนถูกกฎหมาย
ตลาดหุ้น คือ แหล่งระดมทุนทำธุรกิจโดยไม่ต้องกู้ธนาคาร
คนส่วนใหญ่ดูราคาหุ้นมากกว่าดูธุรกิจ
Value Inversting คือ คำตอบ >> พี่โจบอกว่า พี่ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น เพียงแต่พี่โจเจอแนวทางที่ถูกต้อง

อยากรวย แต่ไม่มีเวลา ไม่อยากลงแรง ทำอย่างไร
กองทุนรวม
กองทุนหุ้นระยะยาว LTF ดีที่สุด ได้ลดหย่อนภาษี และส่วนต่างราคา
พยายามเลือกกองทุนที่ใช้แนวทาง VI ดูผลงานย้อนหลัง เลือกกองทุนที่ผลงานดีๆ

ลงทุนให้นานที่สุด
อย่าเอาดอกผลออกมาใช้ระหว่างทาง มันจะไม่เกิดการทบต้น
ลงทุนในหุ้นตลอดเวลาไม่ว่าตลาดจะขึ้น ตลาดจะลง โลกจะแตก
อย่าตายเร็ว รักษาสุขภาพ

ออมก่อนรวยกว่า
เพิ่มรายได้
ลดรายจ่าย
ออมก่อนใช้ ไม่ใช่ใช้ก่อนออม (เมื่อก่อน เหลือค่อยออม แต่ปัจจุบัน แบ่งออมก่อน แล้วเหลือค่อยใช้)

ลดรายจ่าย
อะไรที่เราไม่ใช้ แล้วเราไม่ตายก็สามารถลดได้ทั้งนั้น พี่โจเล่าว่า ตอนจบใหม่ๆหาหอพัก หาหลายที่มาก มีตั้งแต่ 5000 3000 จนสุดท้ายมาได้ที่ 1600/เดือน ในห้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้า 3 อย่าง คือ หมอหุงข้าว เตารีด เครื่องเล่นซีดี

การซื้อรถ คือ การใช้งานที่เลวที่สุดของหนุ่มสาว
ไม่มีอะไรผลาญเงินมากกว่าการซื้อรถ # ปีเตอร์ ลินซ์
ค่าใช้จ่ายของรถอาจจะมากถึง 12,000 บาท/เดือน
อาจมีทางเลือกอื่น เช่น รถมือสอง รถเมล์ รถไฟฟ้า

บ้าน สินทรัพย์ที่แพงที่สุด เวลาผ่อน ดอกเบี้ยรวม ราคาจะแพงกว่าราคาบ้านเสียอีก
บางทีเช่า ยังดีกว่าซื้อแล้วผ่อน
ดีที่สุด อย่ามีบ้าน อยู่บ้านเมีย บ้านพ่อแม่ ^^

บัตรเครดิต อย่าใช้ ดอกเบี้ย 18% ต่อปี โหดที่สุด

ประกันชีวิตซื้อแบบจ่ายแล้วไม่ได้คืน อย่าซื้อแบบสะสมทรัพย์ (ฝากเงิน)
สมมุติ จ่ายเบี้ยประกันสะสมทรัพย์ 100,000 ได้คืน 150,000 ในเวลา 25 ปี
บริษัทประกันนำไปลงทุนได้ผลตอบแทนปีละ 5 % ได้เงิน 339,000
แต่ถ้าเรานำเงิน 100,000 ไปลงทุนเองในตลาดหุ้น ได้ผลตอบแทนปีละ 10 % จะได้เงิน 1,083,000
(เสียไปเปล่าๆ 1,083,000 – 150,000)

บันไดการใช้ชีวิตการเงิน
นักลงทุน เจ้าของกิจการ 15%
พันธบัตร 4%
เงินฝาก 2%
ผ่อนรถ - 9%
บัตรเครดิต -18%

เราถูกเพราะเหตุผลเราถูกไม่ใช่เพราะคนส่วนใหญ่ทำกัน
ชิวิตเริ่มต้นด้วยการผ่อนจะไม่ได้โงหัวตลอดชีวิต

สรุป ทำงานประจำเพื่อหาเงินออม + ลงทุนตลาดหุ้นแบบเน้นคุณค่า คือ คำตอบ


PART2 คำถาม เจาะเรื่องการลงทุนหุ้น

1 ประเมินสถานการณ์ช่วงนี้อย่างไร ณ 24/3/56
ไม่สามารถเดาตลาดได้ ทำนายไม่ได้หรอกว่า หุ้นจะขึ้น หุ้นจะลง

2 AEC ส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้นหรือไม่
ประเด็นนี้ยังเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ ปัจจุบัน ธุรกิจก็มีการลงทุน มีการแข่งขันระหว่างประเทศอยู่แล้ว แต่ถ้าเปิด AEC อาจจะสะดวกขึ้นง่ายขึ้น

3 ตลาดไทยตอนนี้ ณ 24/3/56 ร้อนแรงไปไหม
จริงๆ ร้อนแรงมา 4-5 ปีแล้ว การลงทุนให้ดูเป็นรายตัว set ค่อนข้างแพง พี่โจไม่สนใจดัชนี เน้นรายตัว ความผันผวนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องปกติ จะหวังว่าหุ้นจะขี้นขาเดียวเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นต้องมีความรู้การลงทุนที่ถูกต้อง

4 เลือกหุ้นดูอะไรบ้าง มีปัจจัยอะไรบ้างที่ใช้พิจารณา
ราคาหุ้นเคลื่อนไหวตามกำไร ดังนั้นพี่โจจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีกำไรเติบโตสูงๆ เท่านั้น เจ้ามือตัวจริง คือ กำไร เราต้องประเมิน วิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น SF พี่โจทราบจากการคลิ๊กดูเวปบริษัท ดูการประชุมผู้ถือหุ้น แล้วพบว่า
บริษัทจะเปิดเมกะบางนา และจะมีการเปลี่ยนนโยบายการทำบัญชี ทำให้กำไรจะเพิ่มขึ้น ก็ทยอยรับเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีคนสนใจมาก พี่โจ อาศัยความขยัน พลิกหินทุกก้อน จึงพบ ตอนนั้นก็ประเมินมูลค่าได้ประมาณ 6 บาท ก็เริ่มทยอยรับประมาณ 3.2 บาท

5 แก่นของ VI
1 หุ้นคือธุรกิจ ไม่ใช่ราคาขึ้นลงรายวัน ซึ่งจะเป็นการแยก VI ออกจากลงทุนแนวอื่น เช่น ช่วงหุ้นตก กิจการยังขายของได้ ยังขยายสาขาได้ ก็ไม่น่ากังวล
2 รู้มูลค่าของสิ่งที่เราจะซื้อ ตลาดหุ้นไม่ได้มีป้ายบอกราคา เราต้องประเมิน ส่วนใหญ่พี่โจจะใช้วิธี PE * eps
3 จะซื้อเมื้อมีส่วนลดมากเท่านั้น (มี MOS)
4 แยกตัวเองออกจากนายตลาดให้ได้ นายตลาดประกอบด้วยคนส่วนมาก มีอารมณ์ขึ้นลง ควรใช้ประโยชน์จากนายตลาด

6 PE ที่เหมาะสมคิดอย่างไร
หลักๆ เทียบกับ SET เช่น cpall มีอำนาจต่อรองสูงในทุกๆ ด้านก็ควรมี PE มากกว่า SET (ให้พรีเมี่ยม) บางบริษัทที่กำไรไม่แน่นอน ก็ให้ค่า PE ต่ำกว่า SET

7 เลือกหุ้น TOP-DOWN หรือ BOTTOM-UP
พี่โจชอบ bottom up บริษัทที่ดี จะดีด้วยตัวมันเอง ไม่ว่า แนวโน้มภายนอกจะเป็นอย่างไร

8 วิธีดูหุ้นฟื้นตัวดูอย่างไร
ดูยาก ถ้าดูได้ถูก รวยมหาศาล แต่ถ้าดูผิดจะแย่มาก เช่น SSI อย่าไปยุ่ง พี่โจแชร์ประสบการณ์เจอหุ้น KAMART เดิมขายเครื่องใช้ไฟฟ้าขาดทุน แต่เริ่มเปลี่ยนธุรกิจมาขายเครื่องสำอาง เริ่มมีกำไร และเห็นผู้บริหารซื้อหุ้นจำนวนมาก เลยเริ่มสนใจ

9 หุ้นเติบโตดูอย่างไร หาสัญญาณเติบโตจากอะไร
หุ้นเติบโตจะดูง่าย เช่น HMPRO CPALL เห็นจากการขยายสาขา แผนงานต่างๆ ขยายกำลังการผลิต แต่ต้องซื้อในราคาที่เหมาะสม
หุ้นวัฎจักรยากที่สุด หุ้นฟื้นตัวยากรองลงมา หุ้นเติบโตดูง่ายที่สุด

10 ณ เวลานี้เลือกหุ้นอย่างไรดี
ไม่ว่าเวลาไหนๆ หลักการไม่เปลี่ยน ซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น PE ต่ำยิ่งดี ระวังหุ้น PE สูงๆ ตลาดลงมีโอกาสลงแรง มีปันผล มีการเติบโต หลีกเลี่ยงหุ้นร้อน เช่น ค้าปลีกบางตัว พลังงานทางเลือกบางตัว

11 พี่โจมีหุ้นในพอร์ตกี่ตัว ถือเงินสดไหม
ตอนนี้ถือ 20 ตัว ตัวหลัก 10 ตัว แต่แนะนำว่า ถ้าพอร์ตไม่ถึง 10 ล้าน อย่าถือน้อยกว่า 3 ตัว อย่าถือตัวเดียว ประมาณ 5 ตัวกำลังดี ติดตามง่าย ตอนนี้ถือเงินสด 15 % มีประสบการณ์จาก subprime ช่วงนั้นไม่มีเงินสด เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า สัดส่วนเงินสดมากน้อยขึ้นอยู่กับเวลาไหนควรโลภ ควรกลัว ส่วน watch list มีประมาณ 200 ตัว

12 สัญญาณวิกฤต มีอะไรบอกไหม
กมร ไม่รู้ว่าจะเป็นระลอกคลื่นหรือพายุร้าย หน้าที่เราคือ เลือกบริษัทที่แข็งแกร่ง เติบโต มี MOS เหมือนเลือกเรือออกทะเล การทำนายตลาดทำได้ยาก โดยเฉพาะที่จะทำนายได้ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นต้องมีคนรวยกว่า วอเรน บัฟเฟตต์

13 แชร์ประสบการณ์ช่วง Subprime
ตอนต้นปีกำไร 66% พอเกิด Subprime ปลายปีกำไรลดเหลือ 3% ตอนนั้นใช้มาร์จิ้นด้วยประมาณ 10% มาร์จิ้นด้านดีก็มี แต่ผลเสียมหาศาล คนใช้มาร์จิ้นอาจจะมองโลกแง่ดีเกินไป แต่ควรระวังคำว่า ดวงแตก และช่วงนั้นไม่มีเงินสดเหลือ

14 เวลาเกิดวิกฤต จังหวะรับจะดูตอนไหน
ดูยาก ถูกยังไงก็ไม่กล้าซื้อ แต่เมื่อใดที่ P/BV เท่ากับ 1 น่าซื้อ เพราะจะเท่ากับปี 40 และ subprime ที่จะเด้ง ณ จุดนั้น ปัจจุบัน ประมาณ 2.5-2.6 เริ่มแพง เพราะ เฉลี่ยประมาณ 1.9 (ตอนนี้ควรกลัวมากกว่ากล้า)

15 ถือยาว VS เล่นรอบ
เล่นรอบ ระวังโดนรอบเล่น เช่น cpall ขึ้นแล้วพักแล้วขึ้นต่อ ถ้าบริษัทเติบโตเรื่อยๆ โอกาสขายแทบไม่มี บางครั้งประเมินมูลค่าว่าแพงแล้ว แต่กิจการก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็ตอบปรับราคาตามขึ้นเรื่อยๆ เป็น dynamic

16 มองราคาตลาดมากๆ หวั่นไหว ทำอย่างไรดี
อย่าไปจ้องราคามาก เน้นดูกิจการ

17 โบรคไหนวิเคราะห์ดี
พี่โจชอบ Asia plus ภัทร กรุงศรี

18 VI ขายหุ้นตอนไหน
ขายเมื่อเกินมูลค่าที่ควรจะเป็น ขายเมื่อคิดผิด ขายเมื่อเจอตัวอื่นที่ดีกว่า

19 VI ดูกราฟไหม
พี่โจดูราคาบ้าง แต่ไม่ได้ใช้เทคนิคในการซื้อขาย ระวังจะเกิดความสับสน VI มองหุ้นเป็นธุรกิจ เทคนิคมองราคา ถ้าเอามาผสมธาตุไฟอาจแตกได้ เช่น สัปดาห์ที่ผ่านมา เทคนิคบอกขาย VI บอกซื้อ สับสนมาก ตัวอย่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จแบบ VI เห็นมากว่า มีจำนวนมากกว่า ทำไมเราไม่เลือกเส้นทางที่คนส่วนใหญ่พิสูจน์ว่าสำเร็จ แล้วนำไปปฎิบัติ

20 หุ้นประกันภัยดูอย่างไร
รับเงินลูกค้ามาก่อน แล้วนำไปลงทุน บริษัทไหนลงทุนเก่งจะดี ประกันที่ขายผ่านแบงค์ก็ดี ได้เปรียบเรื่องจำนวนสาขา

21 ลงทุนหุ้นจีน A share vs H Share
แบบ A share ต่างชาติลงทุนยาก มีตกแต่งบัญชี แบบ H share อยู่ที่ตลาดฮ่องกง ราคาหุ้นอาจแพงกว่านิดหน่อย แต่เรื่องบัญชีดูดีกว่า

22 BTS vs BTSGIF
หุ้นสามัญโอกาสทำกำไรมากกว่า แต่โอกาสขาดทุนก็เยอะกว่า

[เสด-ถะ-สาด].com

Creative Thailand สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์

อัดเดทเนื้อหาล่าสุดจาก INCquity

Salween News Online : สาละวินนิวส์ออนไลน์

1000 Awesome Things

The Prospect Group

Financial Times - Asia

About.com Investing for Beginners

About.com Investing for Beginners: Most Popular Articles

Listing of recent news from Hong Kong Trade Development Council

USA.gov Updates: News and Features

Trading Economics

Morningstar Articles

Biography.com - Weekly Listings for January 27 - February 02

Biography.com - On This Day Headliners

REW Blogs : Real Estate Webmasters Blogging Platform

Food.com: Newest recipes

ISE Announcements

IMD Business School - Tomorrow's Challenges Articles

IMD MBA Blogs : MBA Blog class of 2013