30/1/57
24/1/57
port & watch list (24 ม.ค. 57)
23/1/57
วาระแห่งฉัน ปี 2557
1.นอนไม่เกิน 22.00 น.
2.ตื่นนอน ไม่เกิน 6.30 น.
3.ออกกำลังกาย 3ครั้ง/week (วาระแห่งฉัน ปี 2556 แย่มากกก
ไม่ได้ทำเลย ไม่สามารถชนะใจตัวเองได้ ปีนี้ต้องเริ่มใหม่ให้ดี
กว่าเดิม )
4.เขียนหนังสือ อย่างน้อย 1 เรื่อง
5.เริ่ม "หวานไทย"
6.ทบทวนหลักการลงทุนใหม่ทั้งหมด (fundamental + technical)
7.ทริปมาเลเซีย เมษา
8.ทริปออสเตรเลีย ตุลา
2.ตื่นนอน ไม่เกิน 6.30 น.
3.ออกกำลังกาย 3ครั้ง/week (วาระแห่งฉัน ปี 2556 แย่มากกก
ไม่ได้ทำเลย ไม่สามารถชนะใจตัวเองได้ ปีนี้ต้องเริ่มใหม่ให้ดี
กว่าเดิม )
4.เขียนหนังสือ อย่างน้อย 1 เรื่อง
5.เริ่ม "หวานไทย"
6.ทบทวนหลักการลงทุนใหม่ทั้งหมด (fundamental + technical)
7.ทริปมาเลเซีย เมษา
8.ทริปออสเตรเลีย ตุลา
Increase knowledge 23 ม.ค. 57 (ปริมาณเงิน M1,M2)
เงิน (money)
เป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และเป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมยอมรับ
หรือ เงิน หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เป็นสิ่งที่สามารถใช้จ่ายในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ รวมถึงใช้ในการชำระหนี้และอื่นๆ ได้ตามต้องการ
ปริมาณเงิน M1 หรือปริมาณเงินตามความหมายแคบ (Narrow Money) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน ประกอบด้วย ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ในมือประชาชนและเงินฝากกระแสรายวันหรือเงินฝากเผื่อเรียกของประชาชนที่ระบบธนาคาร(เช็ค) Cheque
M1 = Money / Coins + Demanded Deposit
เงินในความหมายแคบ (Narrow Money) = ธนบัตร + เหรียญกษาปณ์ + เงินฝากกระแสรายวัน
ปริมาณเงิน M2 หรือปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน นอกจากประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ในมือประชาชนและเงินฝากเผื่อเรียกแล้ว ยังรวมเงินฝากประจำและออมทรัพย์ที่ระบบธนาคารอีกด้วย
M2 = M1 + Fixed Deposit + Saving Deposit
ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) = M1 + เงินฝากประจำ + เงินฝากออมทรัพย์
ปริมาณเงิน M2a (Broad Money M2a) หมายถึง ปริมาณเงินที่อยู่ในมือประชาชนเป็นความหมายกว้างขึ้น โดยรวมปริมาณเงิน M2 และตั๋วสัญญาใช้เงินหรือนัยหนึ่งคือ เงินที่บริษัทเงินทุนฯ รับฝากจากประชาชน
M2a = M2 + P/N Note
ปริมาณเงิน M3 หรือ ปริมาณเงินตามความหมายที่กว้างที่สุด (Broad Money M3) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชนในรูปของเงินสด เงินฝากทุกประเภทของสถาบันการเงินที่รับฝากจากประชาชน ซึ่งรวมถึงเงินฝากในรูปของตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุน
M3 = Money / Coins + Demanded Deposit +Fixed Deposit + Saving Deposit + P/N
หรือ เงิน หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เป็นสิ่งที่สามารถใช้จ่ายในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ รวมถึงใช้ในการชำระหนี้และอื่นๆ ได้ตามต้องการ
ปริมาณเงิน M1 หรือปริมาณเงินตามความหมายแคบ (Narrow Money) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน ประกอบด้วย ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ในมือประชาชนและเงินฝากกระแสรายวันหรือเงินฝากเผื่อเรียกของประชาชนที่ระบบธนาคาร(เช็ค) Cheque
M1 = Money / Coins + Demanded Deposit
เงินในความหมายแคบ (Narrow Money) = ธนบัตร + เหรียญกษาปณ์ + เงินฝากกระแสรายวัน
ปริมาณเงิน M2 หรือปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน นอกจากประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ในมือประชาชนและเงินฝากเผื่อเรียกแล้ว ยังรวมเงินฝากประจำและออมทรัพย์ที่ระบบธนาคารอีกด้วย
M2 = M1 + Fixed Deposit + Saving Deposit
ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) = M1 + เงินฝากประจำ + เงินฝากออมทรัพย์
ปริมาณเงิน M2a (Broad Money M2a) หมายถึง ปริมาณเงินที่อยู่ในมือประชาชนเป็นความหมายกว้างขึ้น โดยรวมปริมาณเงิน M2 และตั๋วสัญญาใช้เงินหรือนัยหนึ่งคือ เงินที่บริษัทเงินทุนฯ รับฝากจากประชาชน
M2a = M2 + P/N Note
ปริมาณเงิน M3 หรือ ปริมาณเงินตามความหมายที่กว้างที่สุด (Broad Money M3) ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชนในรูปของเงินสด เงินฝากทุกประเภทของสถาบันการเงินที่รับฝากจากประชาชน ซึ่งรวมถึงเงินฝากในรูปของตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุน
M3 = Money / Coins + Demanded Deposit +Fixed Deposit + Saving Deposit + P/N
22/1/57
WINNER Company Profile
http://www.winnergroup.co.th/index.htm
วินเนอร์
กรุ๊ปเป็นบริษัทที่อยู่กับธุรกิจอาหารของคนไทยมาอย่างยาวนาน และเกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมอาหารของคนไทยมาโดยตลอด โดยในช่วงแรกเราได้นำเข้าสินค้าวัตถุดิบและส่วนประกอบอาหารสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร และต่อมาได้ต่อยอดขยายไปในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อเจาะตลาดเข้าทั้งช่องทางฟูดเซอร์วิสและผู้บริโภคโดยตรง
สินค้าของวินเนอร์
กรุ๊ป นอกจากการนำเข้าแล้ว ยังมีโรงงานผลิตสินค้าเอง ปัจจุบันผลิตสินค้ากลุ่มสารผสมต่างๆ
เช่น ผงฟู และน้ำตาลไอซิ่ง
และมีแผนที่จะขยายพื้นที่ของโรงงาน และเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัวให้เพียงพอต่อความต้องการสำหรับภาคธุรกิจ และรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการตั้งรับเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนอนาคตที่จะเจาะสู่ตลาดเวียดนาม
พม่า ลาว เป็นต้น ซึ่งประเทศเหล่านี้ต่างมีการขยายและเติบโตทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และยังมีช่องว่างทางการตลาดมีความต้องการสินค้าวัตถุดิบทางด้านอาหารอีกเป็นจำนวนมาก
ในปีที่ผ่านมาได้ขยายไปสู่ธุรกิจบริการอาหารและเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง โดยเปิดร้านกาแฟระดับพรีเมียมภายใต้ชื่อ
“Delice” รวม 2 สาขาที่ Park Lane เอกมัย และ The Promanade ซึ่งถือเป็นการต่อยอดของธุรกิจภายใต้
“วินเนอร์ กรุ๊ป”
ไม่ได้ร่วมตั้งบริษัทเมื่อ30ปีก่อน แต่ “กนกพรรณ เกรียงไกรกฤษฎา”คนสนิท“เจน วองอิสริยะกุล”หุ้นใหญ่“วินเนอร์กรุ๊ป”น้อมรับ“โจทย์หิน”5ปีโตปีละ 20%
“ไม่เคยกู้เงินระยะยาว เดินธุรกิจด้วยกระแสเงินสด” สารที่ “เหมี่ยว-กนกพรรณ เกรียงไกรกฤษฎา” รองกรรมการผู้จัดการ ในฐานะผู้ถือหุ้น 2.93% (ตัวเลขหลังขายหุ้นไอพีโอ) บมจ.วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ หรือ WINNER พยายามส่งถึงผู้ถือหุ้นทุกราย
“วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ ดำเนินธุรกิจนำเข้า ผลิต และจัดจำหน่ายวัตถุดิบ ส่วนผสมและเคมีภัณฑ์อาหารที่ใช้ในการแปรรูปอาหารอย่างครบวงจร เปิดซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ในราคา 4.92 บาท หรือ 146% จากราคาจอง 2 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท
แม้จะไม่ได้ร่วมก่อตั้งบริษัท “แต่ “เหมี่ยว-กนกพรรณ” ถือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของ “ตระกูลวองอิสริยะกุล” ในฐานะหุ้นใหญ่ 50.56% (ตัวเลขหลังขายหุ้นไอพีโอ) “เจน วองอิสริยะกุล” หุ้นใหญ่ 33.99% นั่งสอบสัมภาษณ์เธอด้วยตนเอง
“หลังเข้าตลาดหุ้นเราต้องมียอดขายขยายตัวเฉลี่ยปีละ 15-20%” โจทย์ใหญ่ที่ “กลุ่มวองอิสริยะกุล” อยากเห็นมากที่สุด แม้จะยากแต่ถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็เป็นแรงผลักดันในการทำงานให้ตัวเอง เพื่อก้าวไปสู่ “สเต็ปของมืออาชีพ” ในธุรกิจซื้อมาขายไป” “รองกรรมการผู้จัดการ” เล่าแผนงานครั้งใหม่ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง
ก่อนเข้าสู่เป้าหมายการทำงาน หลังเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ เธอย้อนประวัติชีวิตว่า เราเป็นลูกสาวคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คน หลังจบปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ไปเรียนต่อปริญญาโท บริหารธุรกิจ (MBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างเรียนปริญญาตรีมีโอกาสไปศึกษาภาษาญี่ปุ่น 1 ปีกว่า ณ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีญี่ปุ่น ย่านสุขุมวิท 29
“เรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะอยากสร้าง “จุดแตกต่างให้ตัวเอง” เพื่อนบางคนเขาเก่งกว่าเรา ฉะนั้นเราต้องหาความสามารถพิเศษ โชคดีที่เป็นคนชอบเรื่องภาษา ดังนั้นการมีภาษาที่ 2 ถือเรื่องโดดเด่นของตัวเอง”
ทำงานครั้งแรกใน “อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย)” ตอนนั้นเข้าไปทำงานด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเรามีความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่น ทำงานได้เพียง 10 เดือนก็ลาออก เพราะอยากทำงานที่มีความท้าทายมากกว่านี้ บังเอิญมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้เราไปสมัครงานที่ “วินเนอร์กรุ๊ป” วันแรกที่ได้สัมภาษณ์กับคุณเจนรู้สึกประทับใจมาก เพราะแกถามว่า “มีอะไรจะถามผมมั้ย” บริษัทอื่นเขาไม่ถามกันแบบนี้
ด้วยความที่เรายังเด็กดันถามกลับว่า “อนาคตบริษัทแห่งนี้จะเป็นอย่างไร โอกาสเติบโตจะมุ่งหน้าไปทางไหน” จำได้เลย คุณเจนนิ่งไปสักพักพรางมองหน้าเรา ในใจแกคงคิดว่า “เด็กคนนี้ช่างกล้า” แต่แกตอบกลับว่า ผมหวังว่าอนาคตเราจะขายสินค้าในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจอาหาร” ทุกวันนี้แกทำให้เห็นแล้วว่า “บริษัททำได้จริงๆ”
คุณเจนร่วมก่อตั้งบริษัทแห่งนี้กับเพื่อนๆที่เรียนคณะวิทยาศาสาร์เทคโนโลยีการจัดการอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 7-8 คน ด้วยทุนจดทะเบียนครั้งแรก 1 ล้านบาท “เหมี่ยว” บอกว่า เธอเริ่มทำงานในบริษัทแห่งนี้ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2533 นี่ก็ผ่านมา 23 ปีแล้ว เริ่มต้นจากต่ำแหน่ง “เซลล์” บังเอิญเรามีความรู้ด้านวิทยาศาสคร์ ประกอบกับมีความสนใจด้านการขาย เมื่อทำงานจริงๆ ไม่ผิดหวังเลย อาชีพนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ครั้งหนึ่งเราเคยขับรถไปหาลูกค้าไกลถึงมหาชัย และเคยใส่รองเท้าส้นสูงข้ามเรือไปพบลูกค้าที่โรงงาน สนุกสนาน ชีวิตเราเล่าวันนี้ไม่จบ (หัวเราะ)
“หัวใจสำคัญ” ของธุรกิจซื้อมาขายไป คือ การมีสินค้าใหม่ๆ มาจำหน่ายตลอดเวลา ทุกวันนี้เรามีซัพพลายเออร์ชั้นนำส่งสินค้าให้เราตลอด ทุกครั้งที่บริษัทมีพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ เปรียบเหมือนเรามีโรงงานใหม่เพิ่มเข้ามา โดยที่ไม่ต้องสร้างโรงงานเอง เธอเชื่อเช่นนั้น..
ถามถึงแผนธุรกิจ 3-5 ปีข้างหน้า (2556-2560)? “รองกรรมการผู้จัดการ” บอกว่า จริงๆในไฟลิ่ง ของบริษัทระบุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจไว้ชัดเจน อนาคตเรายังคงทำธุรกิจเทรดดิ้งเหมือนเดิม แต่เราจะเข้าไปในอุตสาหกรรมใหม่ๆมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใกล้เคียง เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับยา เครื่องสำอาง และ อาหารสัตว์ ปัจจุบันเรามีการจำหน่ายบ้างแต่ยังไม่เต็มที่ ตั้งใจจะปั้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่ทำให้ยาสีฟันแข็งตัวให้มีสัดส่วนมากขึ้น เพื่อเสริมผลประกอบการของบริษัท
สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรด์ “วินเนอร์กรุ๊ป” สินค้าตัวแรกจะเกี่ยวข้องกับ “เครื่องดื่ม” ตอนนี้ยังบอกราละเอียดไม่ได้ เดี๋ยวคู่แข่งรู้หมด (หัวเราะ) ตั้งใจจะใช้สินค้าตัวนี้ในการสร้างแบรนด์ตัวเองให้เป็นที่รู้จักภายในประเทศ เพื่อที่อนาคตจะออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบ AEC คาดว่าปี 2557 จะเห็นแผนงานนี้เป็นรูปร่างมากขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอจดลิขสิทธิ์ชื่อตราสินค้า
อนาคตอยากเห็นแบรนด์ของเรา “โกอินเตอร์” แต่คงต้องสร้างแบรนด์ให้เกิดในประเทศก่อน อยากให้สินค้าของเรามีคุณภาพ เราจะไม่ยอมขายของชนิดขอไปที แบรนด์เราต้องเป็นที่จดจำและน่าเชื่อถือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอง ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้เพียง 7% ปี 2557 อาจเพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวม ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตสินค้าเพื่อจัดจำหน่าย 4,305 ตันต่อปี คาดว่าปีหน้าจะขึ้นเป็น 9,500 ตันต่อปี
เธอ เล่าต่อว่า ภายในปี 2556 เราจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าระดับ “พรีเมียม”ต่อเนื่อง เพื่อเจาะตลาดที่มีกำลังซื้อในประเทศ และกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย หลังเห็นอัตราการเติบโตของกลุ่มเหล่านี้สูงขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และตามหัวเมืองใหญ่
ปีก่อนเราได้ขยายงานไปสู่ธุรกิจบริการอาหาร เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ด้วยการเปิดร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยม ภายใต้ชื่อ “Delice” จำนวน 2 สาขา คือ สาขา Park Lane เอกมัย และสาขา The Promanade ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์ “วินเนอร์กรุ๊ป”
อยากให้นักลงทุนเชื่อมั่นเรา การเข้ามาระดมทุนไม่ได้ต้องการเพียงเงินอย่างเดียว แต่เราอยากให้บริษัทมีมาตราฐานมากขึ้น เราขายสินค้าระดับอินเตอร์ ฉะนั้นเรื่องภาพลักษณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจอาหาร ถือเป็น 1 ในปัจจัย 4 ฉะนั้นธุรกิจของบริษัทมีอัตราเติบโตต่อเนื่องแน่นอน
“เราไม่พานักลงทุนไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด”
“อนาคตหุ้น WINNER จะเป็นหุ้นเติบโตอย่างยั่งยืน และจะเป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ รับรอง คุณจะมี “ความสุข” เมื่อเห็นผลตอบแทนที่แสนจะ “แฮปปี้” ของเรา
“วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ ดำเนินธุรกิจนำเข้า ผลิต และจัดจำหน่ายวัตถุดิบ ส่วนผสมและเคมีภัณฑ์อาหารที่ใช้ในการแปรรูปอาหารอย่างครบวงจร เปิดซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ในราคา 4.92 บาท หรือ 146% จากราคาจอง 2 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท
แม้จะไม่ได้ร่วมก่อตั้งบริษัท “แต่ “เหมี่ยว-กนกพรรณ” ถือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของ “ตระกูลวองอิสริยะกุล” ในฐานะหุ้นใหญ่ 50.56% (ตัวเลขหลังขายหุ้นไอพีโอ) “เจน วองอิสริยะกุล” หุ้นใหญ่ 33.99% นั่งสอบสัมภาษณ์เธอด้วยตนเอง
“หลังเข้าตลาดหุ้นเราต้องมียอดขายขยายตัวเฉลี่ยปีละ 15-20%” โจทย์ใหญ่ที่ “กลุ่มวองอิสริยะกุล” อยากเห็นมากที่สุด แม้จะยากแต่ถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็เป็นแรงผลักดันในการทำงานให้ตัวเอง เพื่อก้าวไปสู่ “สเต็ปของมืออาชีพ” ในธุรกิจซื้อมาขายไป” “รองกรรมการผู้จัดการ” เล่าแผนงานครั้งใหม่ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง
ก่อนเข้าสู่เป้าหมายการทำงาน หลังเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ เธอย้อนประวัติชีวิตว่า เราเป็นลูกสาวคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คน หลังจบปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ไปเรียนต่อปริญญาโท บริหารธุรกิจ (MBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างเรียนปริญญาตรีมีโอกาสไปศึกษาภาษาญี่ปุ่น 1 ปีกว่า ณ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีญี่ปุ่น ย่านสุขุมวิท 29
“เรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะอยากสร้าง “จุดแตกต่างให้ตัวเอง” เพื่อนบางคนเขาเก่งกว่าเรา ฉะนั้นเราต้องหาความสามารถพิเศษ โชคดีที่เป็นคนชอบเรื่องภาษา ดังนั้นการมีภาษาที่ 2 ถือเรื่องโดดเด่นของตัวเอง”
ทำงานครั้งแรกใน “อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย)” ตอนนั้นเข้าไปทำงานด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเรามีความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่น ทำงานได้เพียง 10 เดือนก็ลาออก เพราะอยากทำงานที่มีความท้าทายมากกว่านี้ บังเอิญมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้เราไปสมัครงานที่ “วินเนอร์กรุ๊ป” วันแรกที่ได้สัมภาษณ์กับคุณเจนรู้สึกประทับใจมาก เพราะแกถามว่า “มีอะไรจะถามผมมั้ย” บริษัทอื่นเขาไม่ถามกันแบบนี้
ด้วยความที่เรายังเด็กดันถามกลับว่า “อนาคตบริษัทแห่งนี้จะเป็นอย่างไร โอกาสเติบโตจะมุ่งหน้าไปทางไหน” จำได้เลย คุณเจนนิ่งไปสักพักพรางมองหน้าเรา ในใจแกคงคิดว่า “เด็กคนนี้ช่างกล้า” แต่แกตอบกลับว่า ผมหวังว่าอนาคตเราจะขายสินค้าในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจอาหาร” ทุกวันนี้แกทำให้เห็นแล้วว่า “บริษัททำได้จริงๆ”
คุณเจนร่วมก่อตั้งบริษัทแห่งนี้กับเพื่อนๆที่เรียนคณะวิทยาศาสาร์เทคโนโลยีการจัดการอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 7-8 คน ด้วยทุนจดทะเบียนครั้งแรก 1 ล้านบาท “เหมี่ยว” บอกว่า เธอเริ่มทำงานในบริษัทแห่งนี้ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2533 นี่ก็ผ่านมา 23 ปีแล้ว เริ่มต้นจากต่ำแหน่ง “เซลล์” บังเอิญเรามีความรู้ด้านวิทยาศาสคร์ ประกอบกับมีความสนใจด้านการขาย เมื่อทำงานจริงๆ ไม่ผิดหวังเลย อาชีพนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ครั้งหนึ่งเราเคยขับรถไปหาลูกค้าไกลถึงมหาชัย และเคยใส่รองเท้าส้นสูงข้ามเรือไปพบลูกค้าที่โรงงาน สนุกสนาน ชีวิตเราเล่าวันนี้ไม่จบ (หัวเราะ)
“หัวใจสำคัญ” ของธุรกิจซื้อมาขายไป คือ การมีสินค้าใหม่ๆ มาจำหน่ายตลอดเวลา ทุกวันนี้เรามีซัพพลายเออร์ชั้นนำส่งสินค้าให้เราตลอด ทุกครั้งที่บริษัทมีพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ เปรียบเหมือนเรามีโรงงานใหม่เพิ่มเข้ามา โดยที่ไม่ต้องสร้างโรงงานเอง เธอเชื่อเช่นนั้น..
ถามถึงแผนธุรกิจ 3-5 ปีข้างหน้า (2556-2560)? “รองกรรมการผู้จัดการ” บอกว่า จริงๆในไฟลิ่ง ของบริษัทระบุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจไว้ชัดเจน อนาคตเรายังคงทำธุรกิจเทรดดิ้งเหมือนเดิม แต่เราจะเข้าไปในอุตสาหกรรมใหม่ๆมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใกล้เคียง เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับยา เครื่องสำอาง และ อาหารสัตว์ ปัจจุบันเรามีการจำหน่ายบ้างแต่ยังไม่เต็มที่ ตั้งใจจะปั้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่ทำให้ยาสีฟันแข็งตัวให้มีสัดส่วนมากขึ้น เพื่อเสริมผลประกอบการของบริษัท
สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรด์ “วินเนอร์กรุ๊ป” สินค้าตัวแรกจะเกี่ยวข้องกับ “เครื่องดื่ม” ตอนนี้ยังบอกราละเอียดไม่ได้ เดี๋ยวคู่แข่งรู้หมด (หัวเราะ) ตั้งใจจะใช้สินค้าตัวนี้ในการสร้างแบรนด์ตัวเองให้เป็นที่รู้จักภายในประเทศ เพื่อที่อนาคตจะออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบ AEC คาดว่าปี 2557 จะเห็นแผนงานนี้เป็นรูปร่างมากขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอจดลิขสิทธิ์ชื่อตราสินค้า
อนาคตอยากเห็นแบรนด์ของเรา “โกอินเตอร์” แต่คงต้องสร้างแบรนด์ให้เกิดในประเทศก่อน อยากให้สินค้าของเรามีคุณภาพ เราจะไม่ยอมขายของชนิดขอไปที แบรนด์เราต้องเป็นที่จดจำและน่าเชื่อถือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอง ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้เพียง 7% ปี 2557 อาจเพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวม ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตสินค้าเพื่อจัดจำหน่าย 4,305 ตันต่อปี คาดว่าปีหน้าจะขึ้นเป็น 9,500 ตันต่อปี
เธอ เล่าต่อว่า ภายในปี 2556 เราจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าระดับ “พรีเมียม”ต่อเนื่อง เพื่อเจาะตลาดที่มีกำลังซื้อในประเทศ และกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย หลังเห็นอัตราการเติบโตของกลุ่มเหล่านี้สูงขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และตามหัวเมืองใหญ่
ปีก่อนเราได้ขยายงานไปสู่ธุรกิจบริการอาหาร เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ด้วยการเปิดร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยม ภายใต้ชื่อ “Delice” จำนวน 2 สาขา คือ สาขา Park Lane เอกมัย และสาขา The Promanade ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์ “วินเนอร์กรุ๊ป”
อยากให้นักลงทุนเชื่อมั่นเรา การเข้ามาระดมทุนไม่ได้ต้องการเพียงเงินอย่างเดียว แต่เราอยากให้บริษัทมีมาตราฐานมากขึ้น เราขายสินค้าระดับอินเตอร์ ฉะนั้นเรื่องภาพลักษณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจอาหาร ถือเป็น 1 ในปัจจัย 4 ฉะนั้นธุรกิจของบริษัทมีอัตราเติบโตต่อเนื่องแน่นอน
“เราไม่พานักลงทุนไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด”
“อนาคตหุ้น WINNER จะเป็นหุ้นเติบโตอย่างยั่งยืน และจะเป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ รับรอง คุณจะมี “ความสุข” เมื่อเห็นผลตอบแทนที่แสนจะ “แฮปปี้” ของเรา
“หุ้นปันผล” ถูกใจใช่เลย
“เหมี่ยว-กนกพรรณ” ในฐานะนักลงทุนมือสมัครเล่น เล่าว่า เมื่อก่อนไม่ค่อยออมเงินผ่านการลงทุนในตลาดหุ้นมากนัก ไม่อยากเสียสมาธิในการทำงาน ฉะนั้นจึงมักออมเงินผ่านกองทุนหุ้น และกองทุนตราสารหนี้ประมาณ 60% ส่วนที่เหลือจะกระจายๆไปตามตลาดหุ้น หุ้นกู้ และฝากแบงก์ ผลตอบแทนจากการจัดสรรการลงทุนแบบนี้ ไม่ค่อยมากเฉลี่ย 5-6% เท่านั้น
แต่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เมื่อรู้ว่าเจ้าของจะนำ WINNER เข้าตลาดหุ้น ออกแนวอยากหาความรู้เรื่องหุ้นมากขึ้น ปัจจุบันมีหุ้นในพอร์ต 5-6 ตัว ทุกตัวเป็น “หุ้นปันผล” ตั้งใจจะถือลงทุนระยะยาว ตัวแรก คือ หุ้น แม็คกรุ๊ป (MC) ช้อนมาตั้งแต่ราคา IPO สนใจหุ้นตัวนี้ เพราะชื่นชอบสองผู้บริหารหญิง “สุณี เสรีภาณุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ติ่ง” ปรารถนา มงคลกุล ประธานกรรมการบริหาร
ทั้งสองคนเป็นผู้หญิงเก่ง ทุกครั้งที่ให้ข่าวแกพูดจาดูมีวิชั่น ถือเป็นผู้บริหารที่มีธรรมาภิบาลที่ดี และเป็นผู้บริหารที่ก่อตั้งบริษัทเองกับมือ ดังนั้นจะต้องเป็นคนที่รู้จักบริษัทดีที่สุด ฉะนั้นเขาย่อมรู้ดีว่า ธุรกิจควรเดินไปทิศทางไหน เพื่อให้ผลประกอบการเติบโต
หุ้น เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ซื้อเพราะรู้จักเป็นการส่วนตัวกับ “โจ-ทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เราเชื่อมั่นในธุรกิจของเขา ด้วยความที่บริษัทเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอส) ที่มีผลประกอบการเติบโต และมีกำไรต่อเนื่อง หากเทียบกับสายการบินต้นทุนต่ำอื่นๆ ยังมีกำไรไม่เท่ากับเขา ถือเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ “ที่ถูกใจใช่เลย”
“เหมี่ยว-กนกพรรณ” ในฐานะนักลงทุนมือสมัครเล่น เล่าว่า เมื่อก่อนไม่ค่อยออมเงินผ่านการลงทุนในตลาดหุ้นมากนัก ไม่อยากเสียสมาธิในการทำงาน ฉะนั้นจึงมักออมเงินผ่านกองทุนหุ้น และกองทุนตราสารหนี้ประมาณ 60% ส่วนที่เหลือจะกระจายๆไปตามตลาดหุ้น หุ้นกู้ และฝากแบงก์ ผลตอบแทนจากการจัดสรรการลงทุนแบบนี้ ไม่ค่อยมากเฉลี่ย 5-6% เท่านั้น
แต่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เมื่อรู้ว่าเจ้าของจะนำ WINNER เข้าตลาดหุ้น ออกแนวอยากหาความรู้เรื่องหุ้นมากขึ้น ปัจจุบันมีหุ้นในพอร์ต 5-6 ตัว ทุกตัวเป็น “หุ้นปันผล” ตั้งใจจะถือลงทุนระยะยาว ตัวแรก คือ หุ้น แม็คกรุ๊ป (MC) ช้อนมาตั้งแต่ราคา IPO สนใจหุ้นตัวนี้ เพราะชื่นชอบสองผู้บริหารหญิง “สุณี เสรีภาณุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ติ่ง” ปรารถนา มงคลกุล ประธานกรรมการบริหาร
ทั้งสองคนเป็นผู้หญิงเก่ง ทุกครั้งที่ให้ข่าวแกพูดจาดูมีวิชั่น ถือเป็นผู้บริหารที่มีธรรมาภิบาลที่ดี และเป็นผู้บริหารที่ก่อตั้งบริษัทเองกับมือ ดังนั้นจะต้องเป็นคนที่รู้จักบริษัทดีที่สุด ฉะนั้นเขาย่อมรู้ดีว่า ธุรกิจควรเดินไปทิศทางไหน เพื่อให้ผลประกอบการเติบโต
หุ้น เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ซื้อเพราะรู้จักเป็นการส่วนตัวกับ “โจ-ทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เราเชื่อมั่นในธุรกิจของเขา ด้วยความที่บริษัทเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอส) ที่มีผลประกอบการเติบโต และมีกำไรต่อเนื่อง หากเทียบกับสายการบินต้นทุนต่ำอื่นๆ ยังมีกำไรไม่เท่ากับเขา ถือเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ “ที่ถูกใจใช่เลย”
หุ้น โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) ส่วนตัวชื่นชอบกลุ่มโรงพยาบาลอยู่แล้ว โรงพยาบาลบางแห่งจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน แต่ไม่ได้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น เรายังเคยขอซื้อหุ้นเขาเลย หากเขามีหุ้นออกมาขาย เช่น โรงพยาบาลธนบุรี เรามีทั้งหุ้นสามัญ และหุ้นกู้
กลุ่มโรงพยาบาลถือเป็น “หุ้นพื้นฐานดี” ใครเข้าไปใช้บริการโรงพยาบาลไม่มีใครต่อรองราคา เขาบอกค่ารักษามาเท่าไรก็ต้องจ่ายไปเท่านั้น ดังนั้นเป็นธุรกิจที่มีรายได้ชัดเจน เหตุที่ช้อนหุ้น CHG ช่วงนั้นกำลังอินหุ้นไอพีโอ (หัวเราะ) หาข้อมูลง่าย
“ไม่ชอบหุ้นหวือหวา จำพวกมี “เซอร์ไพร์ส” ไม่ปลื้มเลย ขอเน้นหุ้นปันผล และหุ้นเติบโตดีกว่า ยกตัวอย่าง “หุ้น วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์” รับรองไม่มีวันปล่อยออกมาเด็ดขาด”
กลุ่มโรงพยาบาลถือเป็น “หุ้นพื้นฐานดี” ใครเข้าไปใช้บริการโรงพยาบาลไม่มีใครต่อรองราคา เขาบอกค่ารักษามาเท่าไรก็ต้องจ่ายไปเท่านั้น ดังนั้นเป็นธุรกิจที่มีรายได้ชัดเจน เหตุที่ช้อนหุ้น CHG ช่วงนั้นกำลังอินหุ้นไอพีโอ (หัวเราะ) หาข้อมูลง่าย
“ไม่ชอบหุ้นหวือหวา จำพวกมี “เซอร์ไพร์ส” ไม่ปลื้มเลย ขอเน้นหุ้นปันผล และหุ้นเติบโตดีกว่า ยกตัวอย่าง “หุ้น วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์” รับรองไม่มีวันปล่อยออกมาเด็ดขาด”
ข้อมูลสินค้าที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่าย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)