เกียรติชัย มนต์เสรีนุสรณ์
"ผู้นำต้อง หูหนัก ใจกว้าง
เป็นธรรม"

ธุรกิจขนส่ง หรือโลจิสติกส์
ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาท
และถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งช่วง
4 ปีที่ผ่านมา มีการตื่นตัวกันมากในเรื่องดังกล่าว เห็นได้จากการเติบโตเฉลี่ย
10% ต่อปี บมจ.เกียรติธนา ขนส่ง หรือ KIAT เป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจขนส่งเช่นกัน และขณะนี้มีความพร้อมแล้ว
ที่จะก้าวเข้าสู่การเป็น 'บริษัทมหาชน' วันนี้ Management's Lifestyle จึงขออาสาพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับ 'เกียรติชัย
มนต์เสรีนุสรณ์' กรรมการผู้จัดการบริษัท
เขามาพร้อมกับใจที่เปิดกว้าง
เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อกัน


เดิมผมเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน ทำอยู่ประมาณปีครึ่ง
ก็ออกมาทำธุรกิจของครอบครัว ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ผลิตปูนขาว แคลเซียมคาร์บอเนต ในนาม
บริษัท เอส แอล ที จำกัด เพื่อส่งให้กับ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด
(มหาชน) ตั้งแต่ปี 2527 ต่อมาปี
2537 บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) มีความต้องการผู้ให้บริการขนส่ง
เพื่อขนส่งแร่สังกะสีของบริษัท ซึ่งต้องเป็นผู้ให้บริการขนส่งขนาดใหญ่
ที่มีมาตรฐานสามารถให้บริการขนส่งแร่สังกะสีให้บริษัทได้ปีละไม่ต่ำกว่า
100,000 ตัน ผมเห็นว่ามันเป็นโอกาสที่จะเข้าสู่ธุรกิจขนส่ง
จึงจัดตั้ง บริษัท เกียรติธนา ขนส่ง จำกัด (มหาชน)
หลังจากนั้นก็เริ่มให้บริการขนส่งแร่สังกะสีให้กับ ผาแดงอินดัสทรีมาโดยตลอด
จากเดิมเป็นผู้ขาย ก็เปลี่ยนมาเป็นผู้ขนส่งแร่ต่างๆ เพราะมองว่ามันเป็นโอกาส
เราก็กระโดดเข้ามารับโอกาส ทั้งที่เราไม่เคยทำธุรกิจขนส่งมาก่อน
แต่แนวคิดของงานขนส่งมันง่ายนิดเดียว เพราะธุรกิจนี้หัวใจหลัก คือ
ระวังอย่าให้มีอุบัติเหตุ อย่าให้ไปชนกับใคร
ก็คุณวิ่งไปตลอดทางโดยที่ไม่ชนกับใครได้ คุณก็ได้กำไร คุณวิ่งไปชนคนโน้น คนนี้
เดี๋ยวคุณก็ต้องขาดทุน ต้องทำอย่างระมัดระวัง ทำกระทั่งถึงวันนี้รวมเวลาก็ประมาณ
15 ปีแล้ว โดยได้แตกไลน์ธุรกิจมาเรื่อย
สิ่งสำคัญของการทำธุรกิจ ต้องอย่าทำเหมือนคนอื่นเขา ดังคำของ
Michael E. Porter พูดว่า “Don’t Do What They Do…If
You Need To Do What They Do...Do The Different Way อย่าทำเหมือนที่คนอื่นทำ แต่ถ้าต้องทำเหมือนเค้า
ก็ให้ใช้วิธีที่แตกต่าง”

เริ่มเปลี่ยนมาขนสารเคมีตอนไหนนั้น ทำไปเรื่อยๆ ลูกค้าก็เห็นฝีมือ
และคุณภาพ แนะนำกันบ้างปากต่อปาก ลูกค้ามาคุยบ้าง เราก็เริ่มเห็นช่องทาง
ขนส่งไปถึงต่างประเทศ ไปลาว จากรายเดียวที่จ้างเราขนส่ง
ก็เริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกรายก็ให้เราซื้อของให้ด้วย
ทำไปทำมาก็เกิดความคิดขึ้นว่า ทำไมเราไม่คิดให้มันบรรเจิด กว่านี้
เราก็เลยมีความคิดว่า ตั้งสาขาที่นั้นเลยดีกว่าผมมองว่ามันเป็นโอกาส
นักธุรกิจต้องกล้าที่จะเสี่ยง (Take Risk) แต่ต้องดูว่าเรา รับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด
และต้องรู้ก่อนว่าเราจะทำอะไร โดยต้องประเมินจากตัวเอง ครั้งแรกที่ทำงานขนส่ง
ผมลงทุนไป 150 กว่าล้านบาท
ซึ่งงานขนส่งที่ผมเริ่มทำนั้นมันมีอะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย เช่น มีเรื่องรถ
เรื่องคน เรื่องระยะทาง เรื่องการซ่อมบำรุง เรื่องน้ำมัน
ผมต้องเรียนรู้ทั้งหมดเสียก่อน ซึ่งความรู้ก็ต้องไปแสวงหา
เมื่อแสวงหาแล้วก็มาทำการศึกษาว่า ความรู้ทั้งหลาย ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไร
ซึ่งเราต้องประเมินด้วย เพราะนั่นหมายความว่า ต้องมีความเสี่ยงแน่นอน

1.
ความสามารถในการรับความเสี่ยง (Risk Taking Propensity)
ถือเป็นคุณสมบัติอันหนึ่งของความเป็นผู้ ประกอบการ 2. คุณต้องมี Pro-Active คือ ต้องออกไปทำงาน
ไม่ใช่รอให้งานเข้ามาหา 3. คุณต้องมี Innovative คือ คิดต่าง 4. คุณต้องมี Autonomy
ทุบโต๊ะ ผู้ประกอบการทั้งหลายต้องแกร่ง
กล้าตัดสินใจ

เมื่อรู้ว่ามีความเสี่ยง เราก็จะต้องจัดการมันให้ได้
การจัดการกับความเสี่ยง (Manage Risk)
เช่น 1. การโอนความเสี่ยง (Transfer
Risk) ออกไป เช่น คุณไปหาบริษัทประกันภัยมา คุณไปจ้างคนอื่นมา นี้คือ
การโอนความเสี่ยง 2. หาเครื่องมืออุปกรณ์มาช่วยเสริมประสิทธิภาพ (Mitigate Risk) เช่น การใช้ GPS รวมถึงฝึกคนให้ชำนาญ
ปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยให้อยู่ในสายเลือด เหล่านี้เป็นต้น นี้คือ
วิธีการบริหารความเสี่ยง เมื่อคุณบริหารความเสี่ยงได้ คุณคำนวณต้นทุนได้
คุณก็เสนอแผนธุรกิจไปให้ลูกค้าได้ว่า นี่คือ การบริหารจัดการที่คุณทำด้วยวิธีนี้ๆ
และ 3. ต้องรักษาเครดิตของตัวเองให้ดีอยู่เสมอ ก็คือ
ต้องตรงต่อเวลา ผมทำธุรกิจไม่เคยชำระเงินล่าช้าเลยสักครั้ง
ไม่เคยมีเช็คเด้งสักหนึ่งใบ ผมรักษาเครดิต จนวันนี้ผมอายุ 58 ปี เรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับผม เป็นหนี้ต้องชำระ นี่คือ
ความเติบโตอย่างยั่งยืนของเรา
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคุณคิดได้
ก็สามารถทำได้ หรือหากทำไม่ได้จริงๆ มันเกินความสามารถของตัวเองก็อย่าไปฝืนทำ
อะไรที่มันอยู่เกินขีดความสามารถของตัวเองก็ไม่ต้องทำ ซึ่งทั้งหมดต้องย้อนกลับมาดู
ที่การบริหารความเสี่ยงของเรานั่นเอง


ช่วง 15 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของบริษัท รายได้ขยายตัว 10% ทุกปี อย่างปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2551
ที่ทำได้ 480 ล้านบาท
โดยในช่วงครึ่งปีแรกรายได้ของบริษัทฯ อยู่ที่ 255.92 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง
หลังจากบริษัทฯมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับเน้นขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม
มีความรับผิดชอบสูง ซึ่งทำให้ค่าขนส่งปรับสูงขึ้นด้วย
“มาร์จิ้นของลูกค้าใหม่ดีกว่าลูกค้าเก่าหลายเท่า
เพราะสินค้าที่ขนส่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่า
ฉะนั้นครึ่งปีหลังผลประกอบการน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะมีลูกค้าใหม่เข้ามา
และราคาขนส่งดีกว่าลูกค้าเก่า ซึ่งลูกค้าก็พร้อมที่จะจ่าย
โดยลูกค้าใหม่ของเราก็เป็นกลุ่มผู้ประกอบการเอ็นจีวี
เริ่มสร้างวอลุ่มเข้ามาเรื่อยๆ”
ปัจจุบันบริษัทฯ
มีรถขนส่งสินค้าอยู่จำนวน 300 คัน
ส่วนในอนาคตมีแผนซื้อรถขนส่งสินค้าเพิ่มอีก 100 คัน
โดยใช้เงินลงทุน 3 ล้านบาทต่อคัน

ความเป็นผู้นำ (Leader) ของผม
ผมใช้หลักคุณธรรม และยุติธรรมในการบริหารงาน คือ เราจะต้องเข้าใจผู้ร่วมงาน
ต้องดูแลเขาให้มีความสุขสบายตามสมควรตามอรรถภาพ ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานของตลาด
และต้องให้ดีกว่า ค่าเฉลี่ยของตลาด
คนที่จะเป็นผู้นำได้ จะต้องมีหูหนัก อย่าหูเบา อย่าฟังความข้างเดียว
ใจต้องเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง มีความเป็นธรรม นี่คือ
Leadership เมื่อทำได้เช่นนี้แล้วการจัดการต่างๆ ของคุณจะง่ายขึ้น
เพราะเราทำให้เค้ามีความสุข การทำงานก็ราบรื่นแต่อย่างไรก็ตามรายละเอียดต่างๆ
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม
ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้

10 กว่าปีที่ผ่านมา บริษัทมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เราเป็นผู้นำด้านการขนส่งรายแรกที่ได้รับมาตรฐาน ISO และนำระบบ GPS และระบบ Computer On Line มาใช้ เพื่อตรวจสอบเส้นทางการขนส่ง มีการขยายธุรกิจการให้บริการที่ครบวงจร
และยังได้ขยายสาขาเป็น 6 สาขาครอบคลุมพื้นที่ จังหวัดระยอง พระนครศรีอยุธยา กำแพงเพชร สมุทรปราการ
สระบุรี และจังหวัดตาก
เรามีความมุ่งมั่นในการทำงาน
มีการพัฒนาคุณภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง
และเชื่อมั่นในความพร้อมที่จะให้บริการด้านการขนส่งอย่างครบวงจร
ด้วยมาตรฐานระดับสากล ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่า
สินค้าอันมีค่าได้ถึงจุดหมายปลายทางครบถ้วนตรงเวลา และปลอดภัย
เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จกับลูกค้า และความไว้วางใจของลูกค้า คือ
เป้าหมายอันสูงสุดของเรา


การบริหารงานขนส่งของเราไม่ใช่เพียงแค่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเท่านั้น
แต่เราจะสร้างความพึง พอใจให้กับลูกค้า ในระดับที่เกินความคาดหมาย
เราจะเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ลูกค้าเรียกหา

หากมีปัญหาเข้ามามากๆ ก็จะบอกกับตัวเองว่า
ความเครียดของเราตอนนี้มันเป็นอนิจจัง มันไม่เครียดถึงวันพรุ่งนี้หรอก
วันนี้คุณมีความสุข มันก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้คุณจะมีความสุข มันจะคละๆ กันไป
ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน พระเจ้าไม่ได้ให้ทุกคนเป็นทุกข์ตลอด มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
ปัญหาทุกอย่างต้องใช้เวลา และในที่สุดเราก็จะแก้ได้ มันอยู่ที่ว่า
เราจะอดทนกับปัญหานั้นได้แค่ไหน และหากแก้แล้วผลลัพธ์จะเป็นที่พอใจของเราหรือไม่
นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่มันไม่มีใครตายกับเรื่องพวกนี้ เราในฐานะที่เป็นมนุษย์
มีสติปัญญา คงไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นแน่ เราก็ต้องคิด
และวิเคราะห์หาทางแก้ปัญหา แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ อย่าเข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คุณจะไม่เห็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
รวมถึงทิศทางที่คุณจะไป คุณต้องค่อยๆ คิด วิเคราะห์ เมื่อได้ผลลัพธ์แล้ว
ในลำดับต่อไปก็หาหนทางแก้ไข แล้วคุณก็เลือกทางนั้น
ช่วงวิกฤติของบริษัทฯ มันก็มีบางครั้งที่ผมคิดกระโดดตึกฆ่าตัวตายก็มี
เวลาเครียดๆ แต่ผมก็สรุปได้ว่าหลักของ อิทัปปัจจตา มันเป็นเช่นนั้นเอง
มันมีเกิดมีดับ ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน โบราณว่า ที่คุณกำลังช้ำใจวันนี้
เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณอาจจะมีความสุขก็ได้
ขณะเดียวกันให้วันนี้ที่คุณกำลังหัวเราะก็ถนอมใจถนอมตัวไว้
เพราะพรุ่งนี้คุณอาจจะมีทุกข์ก็ได้

ผมมีลูก 2
คน ลูกสาวอายุย่างเข้า 21 ปี
เรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
ภาคอินเตอร์ฯ ส่วนลูกชายอายุย่างเข้า 20 ปี เรียนอยู่ปี
2 คณะบริหารธุรกิจ Nottingham University ประเทศอังกฤษ ผมถือว่าการเรียนเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับลูกๆ
อย่างน้อยลูกๆ ต้องเรียนให้จบระดับปริญญาเอก
ซึ่งตอนนี้ผมก็เรียนเหมือนกันเพื่อเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็นว่า เราก็เรียน
เพราะฉะนั้นลูกก็ต้องเรียนด้วย ถ้าหากผมไม่เรียนแล้วไปบอกให้ลูกๆ เรียน
เขาต้องคิดว่ามาสอนฉันแล้วทำไมตัวเองไม่ทำ
ส่วนลูกๆ
อยากเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่ ผมไม่บังคับ
และการที่ผมส่งลูกชายไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
ก็เพราะผมอยากให้เขารู้ถึงความลำบาก จะได้ดูแลตัวเองได้ ผมจะให้คำขวัญลูกชายทุกปี
อย่างปีแรก “ลำบากก่อน แล้วจะนอนสบาย” ปีที่ 2 ก็
“เรียนให้เก่ง เล่นให้สะบัด ยัดให้มากๆ” คือ ให้ออกกำลังกาย กินให้เยอะๆ
เรียนให้หนัก และ ปีที่ 3 “รู้จักฟัง รู้จักคิด รู้จักถาม”
ที่ต้องให้ท่องแบบนี้ เพราะช่วง 3 ปีแรก
เขายังเด็ก เราต้องปลูกฝัง คล้ายๆ ล้างสมอง เป็นกลยุทธ์ที่ต้องทำ
สาเหตุที่ต้องส่งลูกชายไปตั้งแต่เด็กๆ เพราะอยากให้เขาซึมซาบ
ประสบการณ์จะได้เรียนรู้มากขึ้น เห็นอะไรเยอะขึ้น และได้เผชิญกับสิ่งต่างๆมากขึ้น
คิดว่าประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาได้เห็น ได้เรียนรู้
จะเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเขาได้ในอนาคต


เพราะผมเชื่อว่า
ความกตัญญูจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยให้กับลูกๆ ได้
และเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคุณไม่ลืมกำพืดตัวเอง เมื่อคุณกตัญญู
คุณก็จะนึกไปถึงพ่อแม่ที่เราต้องห่วงใยดูแล ซึ่งคนเราคงไม่ได้กตัญญูเฉพาะต่อพ่อแม่
แต่ยังมีผู้มีพระคุณ ทั้งครูบาอาจารย์ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เราต้องแสดงความกตัญญู
นอกจากเรื่องความกตัญญูแล้ว ผมก็มักจะนำเอาหลักคำสอนตอนสมัยเด็กที่พ่อแม่ผมสอน
ให้รู้จักประหยัด รู้จักตั้งใจทำงาน ให้มีความมานะ มาสอนลูกๆ ด้วย


ผมทำงานตั้งแต่วันจันทร์ – วันเสาร์ บางทีก็เดินทางไปเยี่ยมสาขาต่างๆ ตามต่างจังหวัดด้วย ถือเป็นการพักผ่อนมากกว่า ไปให้พนักงานเห็นหน้าสัปดาห์ละครั้ง แต่สำหรับครอบครัวแล้วค่อนข้างมีเวลาว่างให้เขาเยอะ ถ้าลูกเรียกให้ไปไหนผมก็ไป ไปรับประทานอาหารกัน ไปดูหนังผมก็ไป

ผมชอบของโบราณนะ ไม่ใช่ของเก่า ของเก่ามันกะโหลกกะลา
ผมชอบสะสมนาฬิกาตั้งโต๊ะที่มีความหมาย เพราะนาฬิกา คือ ความเที่ยงตรง คือ
การเคลื่อนไหว (Movement) ไม่ได้อยู่นิ่งกับที่ นาฬิกา
คือ ผู้ที่ทำหน้าที่คอยนับเวลาให้เรา ให้มีความสำนึกว่าอายุเรามากขึ้นๆ

KIAT มีประวัติมา 15 ปี แล้วก็ยังจะทำต่อไป 15 ปีที่ผ่านมา เรามีอัตราการเติบโตทุกปี มีผลกำไรทุกปี มีการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกปี อย่างน้อยคงจะทำให้ผู้ลงทุนสบายใจได้ว่า บริษัทของเราน่าจะสามารถสร้างความเติบโต ความก้าวหน้าให้ธุรกิจของเราได้อย่างสม่ำเสมอเหมือนอดีตที่ผ่านมา และสำหรับนักลงทุนทั้งหลาย ผมคงต้องขออนุญาตแนะนำว่า ท่านคงต้องถามตัวเองว่าการลงทุนของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ระยะสั้น กลาง ยาวขนาดไหน เพื่อจะเป็นสมบัติลูกหลาน เพื่อจะเอาไว้ใช้ตอนชรา หรือเพื่อสภาพคล่องของตนเอง อันนั้นจะเป็นตัวกำหนด และเป็นตัวชี้วัดว่าท่านควรจะลงทุนในหุ้นประเภทไหน มาถึง ณ ตอนนี้ ผมมั่นใจว่า หุ้นของ KIAT เป็นหุ้นที่มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ คงจะไม่หวือหวา แต่มั่นคง ประวัติเรามีการจ่ายปันผลตอบแทนหุ้นมาตลอด เราก็หวังว่าเราจะทำเช่นนั้นได้

ประวัติ
นาย เกียรติชัย มนต์เสรีนุสรณ์
ตำแหน่ง :
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกียรติธนา ขนส่ง จำกัด (มหาชน)
KIAT
การศึกษา
บริหารธุรกิจบัณฑิต
สาขาบริหารงานบุคคล
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
MBA, Texas Christian University, U.S.A.
ผ่านการอบรม Director Accreditation Program (DAP) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
MBA, Texas Christian University, U.S.A.
ผ่านการอบรม Director Accreditation Program (DAP) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย
ประวัติการทำงาน
2537 –
ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ บมจ. เกียรติธนา ขนส่ง
2550 – ปัจจุบัน กรรมการ บจ. เอสอีเอส เคม
2546 – ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ บจ. เคมทรานส์
2547 - ปัจจุบัน กรรมการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาตุรงค์
2547 – ปัจจุบัน กรรมการ บจ. สยามฟอสเฟตอินดัสทรี
2534 – 2547 กรรมการผู้จัดการ บจ. สยามฟอสเฟตอินดัสทรี
2542 - ปัจจุบัน กรรมการ บจ. อี.เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย)
2550 – ปัจจุบัน กรรมการ บจ. เอสอีเอส เคม
2546 – ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ บจ. เคมทรานส์
2547 - ปัจจุบัน กรรมการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาตุรงค์
2547 – ปัจจุบัน กรรมการ บจ. สยามฟอสเฟตอินดัสทรี
2534 – 2547 กรรมการผู้จัดการ บจ. สยามฟอสเฟตอินดัสทรี
2542 - ปัจจุบัน กรรมการ บจ. อี.เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย)
โดย..นกน้อยในไร่ส้ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น