30/7/56

วิเคราะห์ ธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย

 Posted by: Mr.Keajon

ธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย เป็นธุรกิจสังฆทานรูปแบบใหม่ที่แตกต่างกับการทำธุรกิจสังฆทานแบบดั้งเดิม ที่ลูกค้าจะต้องเดินเข้ามาหาสินค้าในร้านจัดจำหน่าย โดยการทำธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัยนั้น เป็นการนำเสนอสินค้าและบริการ ที่มีสร้างความแตกต่างและน่าสนใจมากกว่า เพื่อที่จะเข้าถึงกลุ่มชาวพุทธยุคใหม่ที่มีกำลังซื้อ และต้องการความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็น One Stop Service อย่างแท้จริง โดยหัวใจหลักจะอยู่ที่การให้ความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพสินค้าและการบริการที่ตอบสนองความสะดวกสบายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นจุดอ่อนของธุรกิจสังฆทานแบบดั้งเดิม ที่จำกัดอยู่เพียงการจำหน่ายหน้าร้านเพียงอย่างเดียวและไม่มีบริการเสริมอื่นๆ ทำให้ในปัจจุบันธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยรูปแบบการจัดจำหน่ายที่มีการปรับเปลี่ยนตามวิถีชีวิตของกลุ่มลูกค้ามากขึ้น

โดยธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย จะเป็นการจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการถวายสังฆทาน ทั้งที่บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มความหลากหลาย สวยงาม หรือการเลือกซื้อตามความต้องการของลูกค้าได้ตามความพอใจ ทำให้จุดเด่นเหล่านี้ได้รับความสนใจจากพุทธศาสนิกชน ในการซื้อหาและนำไปถวายเป็นสังฆทานเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ รูปแบบของสังฆทานร่วมสมัย ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น จะอยู่ในกลุ่มของสิ่งของเครื่องใช้ที่สามารถเก็บไว้ได้นาน โดยเป็นการรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นตามหลักวินัยสงฆ์ ซึ่งประกอบด้วย ชุดสังฆภัณฑ์ อาทิ เครื่องบวช เครื่องกฐิน ชุดสังฆทาน-ไทยธรรม กระเป๋าอเนกประสงค์ ผ้าไตรจีวร ผ้ารับประเคน ผ้าเช็ดปาก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงเครื่องใช้จำพวก เครื่องเขียน ใบมีดโกน หนังสือธรรมะ รองเท้า ยาสามัญประจำบ้าน ผ้าขนหนู ไฟฉาย และอาหารแห้งที่สามารถเก็บไว้ได้นาน เป็นต้น

ซึ่งการดำเนินธุรกิจนั้นผู้ประกอบการก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการตั้งเป็นร้านจำหน่ายสังฆทานทั่วไปที่มีหน้าร้านจัดจำหน่าย การจัดจำหน่ายที่มีบริการเสริมแบบส่งถึงที่ รวมไปถึงการสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ หรือทางโทรศัพท์ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงประเภทของบรรจุภัณฑ์ได้ นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงการให้คำปรึกษาและบริการในงานพิธีทางศาสนา ที่เข้ามาเป็นบริการเสริมทำให้ธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย ดูน่าสนใจและน่าพิจารณาในการลงทุนมากขึ้นในปัจจุบัน

ธุรกิจสังฆทานแบบดั้งเดิม

- ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียงวัดและมีหน้าร้านจัดจำหน่าย
- รูปแบบการจัดจำหน่ายส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะของสังฆทานสำเร็จรูป และไม่มีบริการเสริมอื่นๆ

ธุรกิจจำหน่ายชุด

สังฆทานร่วมสมัย

- ร้านค้าไม่จำเป็นต้องอยู่ในละแวกวัด แต่หากมีทำเลที่ตั้งที่มีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิ ชุมชน หรือ สถานที่ราชการ หรือสำนักงาน เพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายและมีเวลาในการเตรียมสิ่งของทำบุญค่อนข้างน้อย
-สินค้ามีความปราณีต สวยงาม ทนทาน ถูกต้องตามหลักวินัยสงฆ์ มีการจัดรูปแบบที่เหมาะสมในการถวายแต่ละโอกาส รวมถึงงานพิธีต่างๆ
- การดำเนินธุรกิจมีการขยายรูปแบบสินค้าและบริการที่มีความครบถ้วน รวมไปถึงการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย มีการให้คำปรึกษาและบริการในงานพิธีทางศาสนา ตลอดจนมีเครือข่ายกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมทางศาสนาอื่นๆ เข้ามาสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ

ความน่าสนใจและแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย

payslip 20090314111607 วิเคราะห์ ธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย

ประเด็นที่น่าสนใจ ที่มีส่วนช่วยหนุนการเติบโตของตลาดของธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย คือ ด้วยหัวใจของธุรกิจนี้มีกลุ่มลูกค้าอยู่ในทุกพื้นที่ เรียกได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตามที่มีชาวพุทธอาศัยอยู่ ก็สามารถดำเนินธุรกิจนี้ได้ อีกทั้งคนไทยส่วนใหญ่มีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บาปบุญคุณโทษ และนิยมทำบุญอยู่เสมอ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องสังฆทาน พบว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของคนกรุงเทพฯ ในการซื้อเครื่องสังฆทานสำเร็จรูปประมาณเดือนละ 300-500 บาท/ครัวเรือน หรือตกประมาณ 800 ล้านบาท/ปี โดยร้านที่คนกรุงเทพฯ นิยมซื้อเครื่องสังฆทานมากที่สุด คือ ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านจำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ รองลงมา คือ ร้านค้าทั่วไปและร้านค้าในวัด ประเมินว่าเม็ดเงินที่กระจายอยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสังฆทานจะมีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท1 ในขณะที่สินค้าสังฆภัณฑ์ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาเติบโตสูงถึงร้อยละ 10-15 ทุกปี

แม้ว่าชาวพุทธจะนิยมทำบุญถวายสังฆทานอยู่สม่ำเสมอ แต่ปัจจุบันความเร่งรีบในชีวิตประจำวันและเวลาที่จำกัด อีกทั้งต้องการความสะดวกสบาย ประกอบกับข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าบรรจุในชุดสังฆทานที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ก็อาจะทำให้ผู้บริโภคใส่ใจการในเลือกซื้อชุดสังฆทานเพิ่มขึ้น ดังนั้น ธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัยจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจมากขึ้น ด้วยรูปแบบการจัดจำหน่ายที่มีการปรับเปลี่ยนตามวิถีชีวิตของกลุ่มลูกค้า อาทิ การตั้งเป็นห้างสรรพสินค้า/ร้านค้าสังฆทาน ที่มีการจัดวางสินค้าในลักษณะร้านสะดวกซื้อที่สามารถเลือกหยิบสินค้า และเลือกรูปแบบบรรจุภัณฑ์ได้ อีกทั้งยังมีบริการเสริม อาทิ บริการจัดส่งสินค้าแบบส่งถึงที่ การสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ หรือทางโทรศัพท์ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกสิ่งของเครื่องใช้ที่บรรจุลงในสังฆทานได้ นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงการให้คำปรึกษาและบริการในงานพิธีทางศาสนา รับจัดงานทำบุญในโอกาสต่างๆ เช่น ทำบุญเลี้ยงพระ ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญวันเกิด แตกต่างจากเดิมที่การทำธุรกิจสังฆทานแบบดั้งเดิมที่จะต้องมีการจัดจำหน่ายหน้าร้านและทำเลที่ตั้งในละแวกวัดเท่านั้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลทำให้ลูกค้าในปัจจุบันนิยมใช้บริการธุรกิจสังฆทานร่วมสมัยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและกลุ่มวัยทำงาน ที่ยังขาดมีความรู้ความเข้าใจด้านพิธีกรรมด้านศาสนา

ทั้งนี้ แม้ธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัยจะมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งในธุรกิจประเภทเดียวกัน เช่น ร้านสังฆทานแบบดั้งเดิมที่มีทำเลที่ตั้งในละแวกวัด ที่มีความได้เปรียบด้านฐานลูกค้าที่มีจำนวนมาก มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักของคนในละแวกใกล้เคียง หรือร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่า เนื่องจากสามารถเลือกซื้อของใช้สินค้าทุกอย่างได้ตามต้องการและมีราคาที่ถูกกว่า อีกทั้งยังสามารถดึงดูดผู้บริโภคในเรื่องสถานเลือกซื้อที่มีความสะดวกสบายและสถานที่จอดรถที่กว้างขวาง

การเตรียมพร้อมสำหรับเริ่มต้นธุรกิจและปัจจัยอื่นๆที่ควรพิจารณาเพิ่ม


สำหรับการเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจและแนวทางการประกอบธุรกิจ ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องของผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาเริ่มต้นในธุรกิจในกลุ่มนี้ คือ
เจ้าของธุรกิจควรเป็นผู้มีความรู้ทางด้านพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากธุรกิจสังฆทานมีเกี่ยวเนื่องกับวิถีชาวพุทธ ดังนั้น ผู้ประกอบการที่สนใจเริ่มต้นในธุรกิจนี้ เบื้องต้นควรมีความรู้ทางด้านพิธีกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา พระวินัยสงฆ์ หรือขนบประเพณี รวมไปถึงวิธีการจัดเครื่องสังฆทาน เพื่อที่จะได้แนะนำลูกค้าที่มีเลือกซื้อสินค้าได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ในแต่ละโอกาส อาทิ การจัดเครื่องสังฆทานให้ถูกต้องตามหลักมาตรฐาน อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ที่จัดลงไปในชุดสังฆทาน จะต้องเป็นของที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน โดยเป็นของที่มีความจำเป็นและควรใช้ได้จริง ไม่ผิดวินัยสงฆ์ เป็นต้น
ทำเลที่ตั้งจะต้องเป็นจุดสนใจของลูกค้าเป้าหมาย การเลือกทำเลที่ตั้งกิจการ เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการดำเนินกิจการ เนื่องจากทำเลที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของกลุ่มผู้บริโภค โดยการเลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมควรพิจารณาเลือกที่ตั้งใกล้กับบริเวณที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายง่ายแก่การเข้าถึง โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ผู้ประกอบการที่มีทำเลที่ตั้งที่อยู่ในละแวกวัด ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่จะให้ความนิยมในการหาซื้อสังฆทานในบริเวณใกล้เคียงกับวัดที่จะไปถวายสังฆทาน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าประชาชนทั่วไปในชุมชนตามต่างจังหวัด
2. ผู้ประกอบการที่ไม่มีทำเลที่ตั้งที่อยู่ในละแวกวัด แต่มีทำเลที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นจุดที่คนสามารถสังเกต หรือมองเห็นได้ง่าย สะดวกในการเดินทางไปใช้บริการ อาทิ แหล่งชุมชน สถานที่ราชการ โรงพยาบาลหรือออฟฟิส ซึ่งผู้ประกอบการที่มีทำเลในละแวกนี้จะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของตอบสนองของกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน และกลุ่มครอบครัวเดี่ยวในตัวเมืองได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มลูกค้าองค์กรและบริษัทต่างๆ ที่จะเข้ามาเป็นลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคที่มีความจำกัดในเรื่องของเวลาและแหล่งซื้อ อีกทั้งยังสามารถซื้อเก็บไว้ได้

ทั้งนี้ การประกอบกิจการในระยะแรก ควรมีพนักงานหน้าร้านอย่างน้อยประมาณ 1-2 คน เพื่อบริการลูกค้า และควรจัดหน้าร้านให้ดูดี เพื่อเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ
การเตรียมพร้อมเบื้องต้นในการเริ่มต้นธุรกิจ สำหรับผู้สนใจเริ่มต้นธุรกิจ สามารถเปิดกิจการรูปแบบตึกแถวห้องค้า 1-2 คูหาได้ โดยคาดการณ์เงินทุนสำหรับซื้อผลิตภัณฑ์ 300,000-500,000 บาท ส่วนสินค้าได้รับความนิยมซื้อง่ายขายคล่อง ควรมีไว้บริการ ได้แก่ เครื่องบวชครบทุกรายการ อาทิ ผ้าไตรจีวร ย่าม บาตร ชุดนาค ธูป เทียนแพ ดอกไม้ครอบไตร ชุดกันเทศน์ ชุดทำขวัญนาค ต้นเทียน พานแว่นฟ้า เหรียญโปรยทาน ผ้าห่มนอน หมอนหนุน พวงมาลัย 7 สี แจกัน กระถางธูป เป็นต้น โดยผู้เริ่มธุรกิจใหม่ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่จะสามารถช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงในการดำเนินการ ในเบื้องต้นสามารถหาแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ทั่วไปตามร้านขายส่ง ในย่านเสาชิงช้า หรือที่ห้างสรรพสินค้าสังฆภัณฑ์ ที่มีสินค้าให้เลือกเป็นจำนวนมาก หรือจากแหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เนต ซึ่งถือมีความสะดวกและรวดเร็ว อาทิ




images วิเคราะห์ ธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย

- สินค้าเกี่ยวกับผ้า เช่น ผ้าแพร 7 สี ผ้าลูกไม้ ของชำร่วย หาซื้อได้ในตลาดพาหุรัด และสำเพ็ง
- โต๊ะหมู่บูชา หาสั่งซื้อได้ในแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสุพรรณบุรีโรงหล่อพระพุทธรูป หาสั่งซื้อได้ในแถบจังหวัดราชบุรี
- กระถางธูป เครื่องเซรามิค หาสั่งซื้อได้ในแถบจังหวัดลำปาง
คุณภาพของสินค้า … หัวใจหลักของธุรกิจ ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าที่อิงกับกระแสพระพุทธศาสนา การที่จะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญคือ การเน้นในเรื่อง “คุณภาพของสินค้า” ถือเป็นหัวใจหลักของธุรกิจสังฆทาน เนื่องจากในอดีตการทำธุรกิจสังฆทานที่ประสบปัญหาสินค้าหมดอายุ หรือสินค้าบางอย่างไม่เหมาะสมกับพระสงฆ์ ก่อเกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อธุรกิจสังฆทาน
ดังนั้น ความเชื่อใจระหว่างลูกค้าและผู้ประกอบการในเรื่องของคุณภาพสินค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ประกอบควรมีการตรวจสอบและคัดเลือกสินค้าที่ได้มาตรฐาน และจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ที่ระบุว่า จะต้องมีการติดฉลากบอกรายละเอียดของสินค้า เกี่ยวกับวันผลิต ส่วนประกอบ วันหมดอายุและราคา รวมไปถึงการแนบชื่อของบริษัทหรือร้านค้าของผู้ประกอบการลงไปในสังฆภัณฑ์ เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ หากว่าสินค้าหมดอายุไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะสามารถซื้อใจลูกค้าได้มากขึ้น
เจ้าของธุรกิจต้องเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ … พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆอยู่เสมอ เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลาย และสร้างความโดดเด่นให้แก่ธุรกิจของตนเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย นอกจากนี้ การเชื่อมโยงธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัยเข้ากับรูปแบบการตลาดแนวใหม่ หรือพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ตามความถนัดของตนที่มีอยู่ อาทิ ธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจ Online หรือการสร้างพันธมิตรทางการค้าหรือเครือข่ายกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมทางศาสนาอื่นๆ อย่างธุรกิจรับจัดงานทำบุญ ก็จะสามารถเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจได้ เช่น
– บรรจุภัณฑ์คือหน้าตาของสินค้า3 ดังนั้น ควรมีการออกแบบการบรรจุ ให้มีความทันสมัย จะสามารถดึงดูดใจผู้บริโภคได้หลายหลากกลุ่ม มีการปรับกลยุทธ์การจัดวางสินค้าให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้ในหลากหลายระดับราคา เพื่อให้ลูกค้ามีสิทธิ์เลือก จัดสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ หรือการจัดสินค้าที่เหมาะสมถวายในแต่ละโอกาส เป็นต้น
– มีการนำเสนอรูปแบบการขายที่หลากหลาย เช่น การบริการให้คำปรึกษา และรับจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาทุกประเภทและเต็มรูปแบบ โดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถให้คำแนะนำในผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่จัดจำหน่ายทั้งลูกค้าที่มาซื้อของ หรือการบริการข้อมูลทางโทรศัพท์เพื่อสร้างฐานลูกค้าในอนาคต เป็นต้น
- มีการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอยู่เสมอ อาทิ การประชาสัมพันธ์ให้รู้จักร้าน มีแผนขยายบริการใหม่ๆให้แก่ลูกค้า เช่น การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและสั่งซื้อ อาทิ การเข้าไปเปิดจุดจำหน่ายตามสถานที่ที่มีประชาชนจำนวนมากอย่างสถานที่ราชการ โรงพยาบาล หรือย่านออฟฟิส หรือการให้บริการสั่งซื้อทางโทรศัพท์ เว็บไซต์ รวมไปถึงบริการจัดส่งถึงที่ เป็นต้น

จุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-อุปสรรคของธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย


Strengths
1) เป็นธุรกิจตอบโจทย์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ที่นิยมถวายสังฆทาน แต่มีข้อจพกัดในด้านเวลา
2) ธุรกิจมีรูปแบบสินค้า และมีการบริการที่ครบถ้วน มีการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย
3) การเริ่มต้นเข้ามาลงทุนในธุรกิจทำได้ง่าย เนื่องจากขั้นตอนการดำเนินธุรกิจไม่ซับซ้อน
Weaknesses
1) ความเชื่อถือในคุณภาพสินค้า มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ค่อนข้างสูง
2) สินค้าที่มีความหลากหลาย หมายความว่าธุรกิจต้องมีพื้นที่จัดวางสินค้ากว้างพอสมควร ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินทุนสูง
3) สินค้าตอบสนองวิถีชีวิตทางศาสนพิธี ไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปทำให้ลูกค้าจะสนใจซื้อหาสินค้าเฉพาะเวลาเท่านั้น
Opportunities
1) สังคมไทย เป็นสังคมพุทธศาสนา คนส่วนใหญ่นิยมทำบุญและถวายสังฆทานในเทศกาลสำคัญอยู่เสมอ
2) มีช่องทางที่จะพัฒนาธุรกิจและขยายการให้บริการ
3) ความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน และเวลาที่จำกัด ธุรกิจจำหน่ายสังฆทานร่วมมสมัย จึงเป็นทางเลือกของคนยุคใหม่
Threats
1) ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ถือเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สามารถเข้าถึงฐานผู้บริโภคได้มากกว่า
2) มีคู่แข่งใหม่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะคู่แข่งธุรกิจสังฆทานดั้งเดิม
3) การเติบโตของธุรกิจขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละปี ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อ
         
โดยสรุป ธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัย นับว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งนอกจากจะเป็นธุรกิจที่เชื่อมโยงกับวิถีของชาวพุทธทั่วไปที่นิยมถวายสังฆทานแล้ว ยังสามารถตอบสนองความสะดวกสบายของชาวพุทธยุคใหม่ ที่นิยมทำบุญด้วยการถวายสังฆทานให้พระสงฆ์ แต่มีข้อจำกัดด้านเวลาและต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น
การดำเนินธุรกิจจำหน่ายชุดสังฆทานร่วมสมัยให้ประสบความสำเร็จ หัวใจสำคัญควรอยู่ที่การสร้างความแตกต่างให้ธุรกิจสังฆทานดั้งเดิมที่มีอยู่ทั่วๆไป โดยผู้ประกอบการต้องมีความเข้าใจวิถชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการที่มีความแตกต่างและน่าสนใจมากกว่า เพื่อที่จะเข้าถึงกลุ่มชาวพุทธยุคใหม่ที่มีกำลังซื้อ และต้องการความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น โดยเงื่อนไขที่สำคัญที่ผู้ประกอบการควรระลึกอยู่เสมอ คือ การประกอบธุรกิจนี้จะอิงกับกระแสพระพุทธศาสนา สิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจและได้รับความไว้วางใจแก่ลูกค้าในระยะยาว คือ การสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพสินค้าและการบริการที่ตอบสนองความสะดวกสบายของผู้บริโภค ทั้งนี้ ผู้สนใจเริ่มต้นธุรกิจควรเป็นผู้มีความรู้ทางด้านพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะได้แนะนำลูกค้าได้อย่างถูกต้อง และควรมีทำเลที่ตั้งกิจการที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนให้เข้ามาใช้บริการ อีกทั้งควรมีความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาและออกแบบพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆอยู่เสมอ เพื่อสร้างความความหลากหลาย เพิ่มโอกาสในการขายและดึงดูดใจผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มที่มีความต้องการสินค้าและบริการที่แตกต่างกัน
 

แนวโน้มการท่องเที่ยวโลกจากการวิเคราะห์ของ IPK International

Published on Thursday, 02 February 2012 21:36
   

แนวโน้มการท่องเที่ยวโลก
ในปี 2011 องค์การการท่องเที่ยวโลก (UNTWO) คาดว่าจะมีการเดินทางของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 4-4.5% ซึ่งสูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีวิกฤตการณ์ทางการเมืองและภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก และผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์สำหรับปี 2012 ว่าจะยังมีการเติบโตระดับปานกลางแม้ว่าจะเกิดความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ปัจจัยที่
ส่งผลต่อการเติบโตได้แก่ การเพิ่มค่าจ้างในเขตเศรษฐกิจใหม่ การว่างงานที่คงที่ และรายได้สุทธิในเขตเศรษฐกิจที่เติบโตเต็มที่ และบริษัทวิจัย IPK International คาดว่าในปี 2012 การเดินทางระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้น 3-4% เช่นเดียวกับการคาดการณ์ของ UNWTO
ปี 2011 มีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางและการท่องเที่ยวเกิดขึ้นมากมาย เช่น การเดินขบวนประท้วงขับไล่ผู้นำในกลุ่มประเทศอาหรับตั้งแต่ช่วงต้นปี ตามมาด้วยสึนามิและการรั่วไหลของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น วิกฤตหนี้สาธารณะในเขตยูโรโซนและวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองในกรีซตามด้วยอิตาลี ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกว่า 8 ล้านคนเปลี่ยนจุดหมายในการเดินทาง
ขณะเดียวกันในเขตเศรษฐกิจใหม่ที่ประชาชนร่ำรวยขึ้น ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น เช่น จีน รัสเซีย บราซิล และอินเดีย ส่งผลให้มีแนวโน้มที่ประชาชนจะเดินทางมากขึ้น โดยเฉพาะเดินทางไปต่างประเทศ และในปี 2012 ประเทศในเอเชียจะยังคงเป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ จีน อินเดีย และญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศในยูโรโซนและสหรัฐอเมริกาเศรษฐกิจเติบโตต่ำ

สำหรับจำนวนการเดินทางระหว่างประเทศที่ IPK International คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2011 คือ 980 ล้านครั้ง เป็นการเดินทางที่มีการพักค้างแรมในต่างประเทศ 740 ล้านครั้ง การเดินทางภายในประเทศ 5.65 พันล้านครั้ง การใช้จ่ายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 8% เป็น 828 พันล้านยูโร โดยชาวเอเชียมีการใช้จ่ายต่อทริปสูงสุด แซงหน้าชาวอเมริกันและชาวยุโรป ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงการเดินทางระยะใกล้ในยุโรปที่มีสัดส่วนสำคัญ และการเดินทางระยะไกลของชาวเอเชียและชาวอเมริกันซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง

แนวโน้มด้านคืนพักจะเพิ่มขึ้น 4% เป็น 5.1 พันล้านคืน โดยนักท่องเที่ยวจะมีคืนพักเฉลี่ยลดลง นักท่องเที่ยวจากเอเชียจะมีคืนพักสั้นที่สุด ตามด้วยนักท่องเที่ยวยุโรป และนักท่องเที่ยวอเมริกัน

อุตสาหกรรมที่พักแรมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2011 มีการเติบโตดียกเว้นในภูมิภาคแอฟริกา อัตราการเข้าพักสูงขึ้น และราคาห้องพักโดยเฉลี่ยสูงขึ้น รายได้ต่อห้องเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ในยุโรปและอเมริกาเหนือ ขณะที่เอเชียแปซิฟิกและอเมริกาใต้รายได้เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก ตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นในระดับต่ำที่สุด และแอฟริกามีรายได้จากค่าห้องพักลดลง
ส่วนสายการบินมีสัดส่วนลดลงในส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายต่อทริป เนื่องจากมีสายการบินต้นทุนต่ำเพิ่มขึ้น ความต้องการเดินทางโดยเครื่องบินเพิ่มขึ้นจากกลุ่มชนชั้นกลางที่เกิดขึ้นใหม่ทั่วโลกซึ่งมีความสามารถใช้จ่ายเงินเพื่อการพักผ่อน ขณะที่การเดินทางเพื่อธุรกิจก็ยังถูกขับเคลื่อนโดยผลประกอบการของธุรกิจและความพร้อมในการเดินทางเพื่อสร้างธุรกิจ อินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางที่คนนิยมใช้เพื่อจองการเดินทางเกือบครึ่งของทั้งหมด วัตถุประสงค์ในการเดินทางส่วนใหญ่เป็นการพักผ่อนมากกว่า 70%

การคาดการณ์ปี 2012
ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่าในปี 2012 การท่องเที่ยวจะเติบโตต่อไปในระดับที่ไม่สูงนักจากปี 2011 คือประมาณ 3-4% เนื่องจากผลการสำรวจพบว่าแม้ประชาชนจะกังวลกับสถานการณ์แต่ไม่กระทบต่อการวางแผนเดินทางในปี 2012 โดย UNWTO คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในปีนี้จะมีจำนวนถึง 1 พันล้านคน

แนวโน้มการท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป
ในปี 2011 นักท่องเที่ยวชาวยุโรปเดินทางต่างประเทศเพิ่มขึ้น 4% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1-2% และคาดว่าในปี 2012 จะมีการเติบโตประมาณ 2-3% เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในภูมิภาค วันพักเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวชาวยุโรปลดลง 5% ในปี 2011 เป็น 7.6 คืนและค่าใช้จ่ายต่อทริปลดลง 4% เป็น 850 ยูโรต่อทริป ขณะที่การเดินทางระยะสั้นมีคืนพัก 1-3 คืน เพิ่มขึ้น 10% โดยภาพรวมนักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางมากขึ้นแต่ระยะเวลาสั้นลงและใช้จ่ายน้อยลง โดยการเดินทางในรูปแบบต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นเช่น beach holidays (+6%) , city trips (+10%) และ tours (+8%) ส่วนการเดินทางที่ลดลงเป็น winter snow holidays (-5%) , countryside holidays (-7%) นักท่องเที่ยวเดินทางโดยสายการบินต้นทุนต่ำเพิ่มขึ้น 10% ขณะที่การเดินทางโดยสายการบินปกติลดลง 4%

การเติบโตของนักท่องเที่ยวขาออกจากประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ชะลอตัว โดยเยอรมนีเติบโต 1% สหราชอาณาจักร 2% เช่นเดียวกับฝรั่งเศสและอิตาลี ขณะที่ประเทศเล็กๆ กลับมีการเติบโตสูงกว่า เช่น สวิตเซอร์แลนด์ 9% สวีเดน 7% นอร์เวย์ และเบลเยียม 6% ฟินแลนด์ 5%
การเดินทางระยะใกล้ (เติบโต 4%) เป็นสัดส่วนถึง 90% ของการเดินทางขาออกทั้งหมด ขณะที่การเดินทางระยะไกลเติบโต 3% ประเทศที่ได้รับนักท่องเที่ยวขาเข้ามากเป็นโซนยุโรปใต้ เช่น สเปน โปรตุเกส ตุรกี และโครเอเชีย ซึ่งมีการเติบโตมากกว่า 8% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนจุดหมายจากการเดินทางไปพักผ่อนในแอฟริกาเหนือ ประเทศที่ได้รับนักท่องเที่ยวจากยุโรปลดลง เช่น กรีซ สวิตเซอร์แลนด์ อียิปต์ และตูนิเซีย ส่วนการเดินทางระยะไกล สหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากยุโรป มีการเติบโต 6% ส่วนเอเชียแปซิฟิกเติบโตเพียง 1% เนื่องจากภัยพิบัติในญี่ปุ่น และจากเหตุการณ์ Arab Spring ส่งผลให้ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรปได้รับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ยกเว้นกรีซที่ต้องใช้การลดราคาทัวร์ลงเพราะประสบปัญหาภาพลักษณ์ความไม่สงบจากการประท้วง

แม้ว่าในปี 2012 สถานการณ์ในยุโรปจะยังไม่แน่นอนแต่ชาวยุโรปก็ไม่มีแผนจะยกเลิกการเดินทาง จากการสำรวจข้อมูลชาวยุโรป 13 ประเทศพบว่า 43% ของผู้ตอบจะยังเดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนเท่ากับในปี 2011 ขณะที่ 27% คาดว่าจะเดินทางบ่อยครั้งขึ้น และ 20% จะเดินทางน้อยลง โดยนักท่องเที่ยวที่มีความเชื่อมั่นสูงสำหรับการเดินทางในปี 2012 ได้แก่นักท่องเที่ยวจาก โปแลนด์ ฟินแลนด์ และ นอร์เวย์ ขณะที่นักท่องเที่ยวจากสเปนและอิตาลี มีความเชื่อมั่นต่ำที่สุด ทั้งนี้ IPK คาดว่าในปี 2012 การท่องเที่ยวจะเติบโต 2-3% และจะเป็นสถิติใหม่ที่มีการเดินทางสูงที่สุดเหนือกว่าเมื่อปี 2008

ในฐานะของจุดหมายทางการท่องเที่ยวนับว่าปี 2011 มีการเติบโตที่ดี จากการสำรวจใน 26 ประเทศของยุโรป ณ เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2011 พบว่ามีคืนพักเพิ่มขึ้น 8.9% และมีจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 9.7% โดยมีนักท่องเที่ยวจากจีน รัสเซีย และอินเดีย เพิ่มขึ้นเกินกว่า 10% ขณะที่นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ทั้งนี้ มีการเติบโตที่แข็งแกร่งในยุโรปตะวันออก จากการสำรวจของ ETC (European Travel Commission) ใน 20 ประเทศของยุโรปพบว่าปี 2011 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ายุโรปเพิ่มขึ้น 6% โดยมีปัจจัยสำคัญคือการเข้าถึงที่ง่ายขึ้น โดยสายการบินต้นทุนต่ำ สถานการณ์ที่ดีในตลาดสำคัญๆ และการใช้จ่ายเงินเพื่อทำการตลาดสูงขึ้นเทียบกับเมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา สำหรับปี 2012 คาดว่าจะมีการเติบโตของนักท่องเที่ยวขาเข้า 2-3% โดยขึ้นอยู่กับระดับความไม่แน่นอน ณ ปัจจุบัน

แนวโน้มการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

การเดินทางท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นภายในภูมิภาคและคาดว่าในปี 2012 จะยังคงเป็นไปในเชิงบวกแม้ว่าบรรยากาศทางเศรษฐกิจของโลกจะไม่แน่นอน โดยการเดินทางขาออกเพิ่มขึ้น 6% ในปี 2011 จากการสำรวจของ Asian Travel Monitor และคาดว่าในปี 2012 จะเพิ่มขึ้น 5% โดยประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตรวดเร็วกว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้รับผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก

สำหรับการเดินทางขาออกในปี 2011 มีการเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาซึ่งเพิ่มขึ้น 14% โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีมีนักท่องเที่ยวขาออกเพิ่มขึ้น 6% แม้ว่านักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นจะลดลง โดยจีนเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขาออกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
จากการที่ญี่ปุ่นประสบภัยพิบัติจากสึนามิและการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จำนวนนักท่องเที่ยวขาออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มิถุนายน 2011 ลดลงเกือบ 10% แล้วจึงกลับฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคม โดยมีการเติบโตเกือบ 10% ในเดือนสิงหาคมและกันยายน และพบว่ามีความต้องการเดินทางเพิ่มขึ้นกว่าช่วงวิกฤตครั้งก่อน และนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางเยือนจุดหมายปลายทางในเอเชียมากกว่าในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และออสตราเลเซีย ส่วนการท่องเที่ยวขาเข้าลดลงถึง 50% ในเดือนเมษายน และยังคงลดลง 25% ในเดือนกันยายน การที่จำนวนนักท่องเที่ยวขาออกฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากพื้นที่ประสบภัยพิบัติมีส่วนแบ่งนักท่องเที่ยวขาออกเพียงเล็กน้อย ไม่มีความเสี่ยงในการเดินทางไปต่างประเทศ เที่ยวบินลดลงเพียงเล็กน้อยและเงินเยนยังคงแข็งค่า และอีกปัจจัยหนึ่งที่น่าประหลาดใจ คือ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจูงใจให้คนเดินทางมากกว่าอยู่ในบ้านของตนเอง รวมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของคนญี่ปุ่นหลังประสบภัยพิบัติเมื่อเดือนมีนาคม ชาวญี่ปุ่นเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างจริงจังโดยลดการบริโภคปริมาณมาก ประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น ทำงานเพื่อสังคมและเป็นอาสาสมัครเพิ่มขึ้น เปลี่ยนจากการใช้จ่ายเพื่อทรัพย์สินมาใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์รวมทั้งการเดินทางเพิ่มขึ้น และคาดว่าในปี 2012 นักท่องเที่ยวขาออกจากญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้น 4% โดยเดินทางระยะใกล้เพิ่มขึ้น เดินทางระยะไกลน้อยลง

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ผลักดันให้ความต้องการเดินทางในเอเชียเพิ่มขึ้นคือชนชั้นกลางที่มีฐานะมีจำนวนเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจในเอเชียเติบโตดีโดยเฉพาะในจีน เกาหลีใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ประชากรในประเทศเหล่านี้มีรายได้สูงขึ้น จึงมีความต้องการและสามารถจะเดินทางต่างประเทศมากขึ้น ข้อมูลจาก Capgemini และ Merrill Lynch Global Wealth Management ระบุจำนวนของมหาเศรษฐีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นเกือบ 10% เป็น 3.3 ล้านคน ขณะที่ในยุโรปเพิ่มขึ้นเพียง 6% เป็น 3.1 ล้านคน วิถีชีวิตของชาวเมืองในเอเชียที่ซับซ้อนมากขึ้นจะสร้างความต้องการสินค้าที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้นเช่น มรดกวัฒนธรรม สวนสนุกแบบ “edutainment” , soft adventure , luxury holiday , sport tourism นักท่องเที่ยวจากจีนและอินเดียจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีอำนาจซื้อสูงขึ้น ประเทศอื่นๆที่น่าจับตามองคือ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ส่วนนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นจะมีการเติบโตจากแรงกระตุ้นของการเปิดสายการบินต้นทุนต่ำในปี 2012
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสายการบินต้นทุนต่ำมีบทบาทสำคัญที่ช่วยพัฒนาการเดินทางภายในเอเชีย 3 สายการบินใหญ่ คือ Air Asia Jetstar และ Tiger Airways มีเส้นทางบินในเอเชียกว่า 150 จุดหมายปลายทาง ขณะเดียวกันสายการบินจากตะวันออกกลางจะเปิดเส้นทางบินสู่เอเชียและสายการบินในเอเชียก็ร่วมเป็นพันธมิตรกับสายการบินทั่วโลก ทำให้เกิดเส้นทางบินเชื่อมโยงใหม่ ๆ

คาดการณ์ปี 2012

เอเชียจะยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปประสบปัญหา Asian Travel Monitor คาดการณ์ว่า การเดินทางท่องเที่ยวของชาวเอเชียในปี 2012 จะยังเป็นบวก โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 32% ระบุว่าจะเดินทางเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ขณะที่ 37% วางแผนจะเดินทางท่องเที่ยวเท่ากับปี 2011 มีเพียง 19% ที่จะเดินทางน้อยลง ในภาพรวม IPK คาดการณ์ว่าการเดินทางขาออกของชาวเอเชียปี 2012 จะเพิ่มขึ้น 5% โดยมีจีนและอินเดียเป็นผู้นำ ขณะที่ญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับรองในเรื่องความเชื่อมั่นในการเดินทาง

ในฐานะของจุดหมายทางการท่องเที่ยว UNWTO คาดการณ์ว่ามีการเติบโตของการเดินทางระหว่างประเทศในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 5-6% ในปี 2011 (เอเชียใต้ 14% เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 12% ตามข้อมูลของสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA)) โดย 3 ประเทศที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดคือภูฏาน ศรีลังกา และ ประเทศไทย
ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงซึ่งมีความร่วมมือกันในการส่งเสริมการท่องเที่ยวได้รับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเมื่อปี 2010 มีนักท่องเที่ยว 31 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 20 ล้านคนเมื่อปี 2005 และตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว 50 ล้านคนในปี 2015 โดยประเทศไทยได้รับนักท่องเที่ยวมากที่สุดในภูมิภาค ตามด้วยเวียดนาม แต่นักท่องเที่ยวในปัจจุบันเริ่มเดินทางสู่จุดหมายปลายทางอื่นๆ เช่น เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา โดยประเทศเหล่านี้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10% ในปี 2011 โดยคาดว่าการเติบโตของนักท่องเที่ยวจะสูงขึ้นเมื่อกลุ่มประเทศอาเซียนแก้ไขกฎระเบียบเรื่องการเดินทางให้สะดวกขึ้น ซึ่งปัจจุบันมาเลเซียเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีนักท่องเที่ยวในพื้นที่ถึง 2.6 ล้านคน ตามด้วย จีน ไทย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

ข้อมูลจาก PATA ระบุว่า ในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้คาดว่าภูมิภาคที่เป็นจุดหมายปลายทางหลักจะมีอัตราการเติบโตไม่เกิน 10% เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือคาดว่าจะเติบโต 5% ในปี 2012 และ 5.5% ในปี 2013 ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโต 7% และ 6% ตามลำดับ ส่วนเอเชียใต้จะเติบโต 6% และ 5.6% ตามลำดับ

แนวโน้มการท่องเที่ยวภูมิภาคอเมริกา

ในปี 2011 การท่องเที่ยวในอเมริกาใต้เติบโตเกินกว่า 10% ทั้งขาเข้าและขาออก เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของพื้นที่ ในขณะที่การท่องเที่ยวขาออกของสหรัฐอเมริกายังอ่อนแอ และการเดินทางขาเข้าเติบโตในระดับปานกลาง โดย UNWTO พยากรณ์การเติบโตของนักท่องเที่ยวขาเข้าสู่ภูมิภาคอเมริกาในภาพรวมประมาณ 4-5% ในปี 2011 ทั้งนี้ ไม่มีการเติบโตของนักท่องเที่ยวขาออกจากสหรัฐอเมริกาในช่วง 8 เดือนแรกของปี และในปี 2012 คาดว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก โดยจากการสำรวจของ American Travel Monitor พบว่าผู้ตอบข้อมูลเพียง 23% วางแผนเดินทางต่างประเทศเพิ่มขึ้นในปี 2012 ขณะที่ 26% จะเดินทางเท่ากับปี 2011 และ 28% จะเดินทางน้อยลง โดย 23% ไม่ได้วางแผนเดินทางต่างประเทศ IPK จึงคาดการณ์ว่าการเดินทางขาออกจากสหรัฐอเมริกาจะลดลง 2% ในปี 2012 เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มที่ชาวอเมริกันจะมองความคุ้มค่าเงินเมื่อเดินทาง หรือเลือกใช้เวลาว่างพักผ่อนอยู่กับบ้านหรือสถานที่ใกล้บ้านแทน(Staycations) ส่วนการเดินทางขาเข้าในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 3% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2011 จากสถิติล่าสุดของ UNWTO

ในทางตรงกันข้าม อเมริกาใต้มีการเดินทางขาออกอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปี 2011 โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีมีการเติบโต 15% แต่คาดว่าอัตราดังกล่าวจะเริ่มชะลอตัวลงจากการสำรวจของ American Travel Monitor ทั้งนี้ ชาวบราซิลยังคงใช้จ่ายเพื่อการเดินทางต่างประเทศมาก เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและค่าเงินที่แข็งแกร่ง ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2011 มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก 45% จากที่เคยเพิ่มขึ้น 50% เมื่อปีก่อน

ข้อมูลจากนักวิจัยของ Mexican Tourism Board ระบุว่านักท่องเที่ยวจากตลาดเกิดใหม่ในอเมริกาใต้ 4 ประเทศ ได้แก่ บราซิล อาร์เจนตินา ชิลี และเม็กซิโก ส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีการศึกษา ฐานะดี โดยมากเดินทางเพื่อพักผ่อน มีแนวโน้มจะเป็น Sightseeing tour นักท่องเที่ยวบราซิลมักจะเดินทางระยะไกลและใช้เงินมากกว่า ขณะที่นักท่องเที่ยวชิลีและอาร์เจนตินามักจะท่องเที่ยวในอเมริกาใต้ ส่วนนักท่องเที่ยวเม็กซิกันนิยมไปท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ข้อจำกัดในละตินอเมริกาคือยังขาดแคลนสายการบินต้นทุนต่ำที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของการเดินทางระยะไกล
สำหรับการเดินทางขาเข้า อเมริกาใต้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมแห่งหนึ่งของโลกในปี 2011 โดยมีนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศเดินทางเข้าเพิ่มขึ้น 13% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2011 หลังจากเมื่อปี 2010 มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอเมริกากลางและแคริบเบียนที่เติบโตเพียง 4%
นักท่องเที่ยวชาวจีนรุ่นใหม่
สาธารณรัฐประชาชนจีนจะกลายเป็นประเทศหลักที่มีอิทธิพลต่อการท่องเที่ยวโลกจากการที่มีนักท่องเที่ยวขาออกเพิ่มขึ้น และเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย นักท่องเที่ยวชาวจีนรุ่นใหม่จะเป็นคนหนุ่มสาว มีฐานะ แต่งตัวดี และใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เป็นกลุ่มที่ต้องการประสบการณ์เฉพาะบุคคลควบคู่กับการบริการที่พร้อมจะรองรับคนจีน
UNWTO พยากรณ์ไว้ว่าในปี 2011 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางไปต่างประเทศ 66 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2010 แม้ว่าจุดหมายปลายทางหลักจะเป็น ฮ่องกง มาเก๊า แต่จุดหมายอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิกก็ได้รับนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นถึง 28% เป็น 11 ล้านคนในปี 2010 สำหรับจุดหมายในยุโรปที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว คือ ฝรั่งเศส และ เยอรมนี ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเนื่องจากมีการใช้จ่ายเงินเพื่อช้อปปิ้งสูง

นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะเดินทางด้วยตนเองมากขึ้น มีความต้องการสูงขึ้น (more demanding) สนใจเลือกรูปแบบการท่องเที่ยวที่ให้ประสบการณ์มากกว่าที่ราคาถูก และต้องการบริการที่มีคุณภาพ แทนที่จะเป็นการเดินทางเป็นกรุ๊ปทัวร์แบบเดิม อย่างไรก็ดี ภาษาและวัฒนธรรมยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน จุดหมายทางการท่องเที่ยวหรือโรงแรมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จึงควรมีบริการที่พร้อมสำหรับชาวจีน (China-ready) เช่น มีกาต้มน้ำสำหรับต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รองเท้าแตะใส่ในห้องพัก รวมถึงเมนูอาหารจีน พนักงานที่พูดภาษาจีนได้ ตลอดจนออดิโอไกด์ภาษาจีนตามแหล่งท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์

พลังขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดการเดินทางขาออกของชาวจีนคือกลุ่ม young professionals (คนหนุ่มสาวที่มีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ) ที่มีรายได้สูง และเป็นกลุ่มตลาดที่สำคัญ สิ่งที่ทำให้กลุ่มตลาดนี้แตกต่างจากกลุ่มผู้มีฐานะในประเทศพัฒนาแล้ว คือ ผู้บริโภคชาวจีนที่มีฐานะอายุน้อยกว่าคนที่มีฐานะในสหรัฐฯและยุโรปเฉลี่ยประมาณ 20 ปี และคนกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มที่จะสนใจประสบการณ์เฉพาะบุคคล เป็นนักช้อปมือเติบโดยเฉพาะกับสินค้าแบรนด์ดังจากโลกตะวันตก โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งในการเดินทางของกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นในอัตราเกินกว่า 10%
ลักษณะนิสัยที่สำคัญที่สุดของนักท่องเที่ยวชาวจีนรุ่นใหม่คือเป็น “digital natives” ซึ่งหมายถึงคนที่เติบโตขึ้นมากับคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีบนโทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดีย คนกลุ่มนี้ใช้ช่องทางดิจิตอลดังกล่าวในการวางแผนและจองการเดินทาง ภายหลังการเดินทางก็ใช้โซเชียลมีเดียและออนไลน์แพลทฟอร์มต่างๆ ในการสื่อสารประสบการณ์ของพวกเขา ทั้งนี้ ดิจิตอลและโซเชียลมีเดียได้กลายเป็นช่องทางการสื่อสารข้อมูลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศจีน โดยในเดือนตุลาคม 2011 มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกือบ 500 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนสูงกว่าที่ใดในโลก ขณะที่มีการเข้าถึงในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศเพียง 35% ทั้งนี้ อินเทอร์เน็ตในจีนแตกต่างจากที่อื่นๆ มีความซับซ้อนและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีชาวจีนที่ใช้บริการออนไลน์เป็นประจำถึง 92% ซึ่งคาดว่าจะใช้โซเชียลมีเดียในทางใดทางหนึ่ง และผู้บริโภคชาวจีนก็เปิดรับข้อมูลเชิงการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียหรือไมโครบล็อกต่างๆ อย่างมาก ต่างจากคนในโลกตะวันตก นอกจากนี้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวควรตระหนักสำหรับการใช้อินเทอร์เน็ตกับกลุ่มผู้บริโภคชาวจีน ได้แก่
- ไม่ควรแปลเว็บไซต์จากภาษาสากลเป็นภาษาจีนโดยตรง แต่ควรทำเว็บไซต์เฉพาะที่มีเนื้อหา เหมาะสมกับตลาด และลิงค์กับเสิร์ชเอ็นจิ้นภาษาจีน (Baidu) และสื่อดิจิตอล

- เว็บไซต์ต่างๆ ควรมีโฮสท์อยู่ในประเทศจีนเพื่อให้สามารถตอบโต้ในกรณีของการเซ็นเซอร์ และควรหลีกเลี่ยงการลิงค์กับโซเชียลมีเดียต่างประเทศที่ถูกห้ามใช้ในจีน (Facebook Youtube และ Twitter)

- ควรทำให้ผู้บริโภคสามารถโต้ตอบออนไลน์ได้ และลิงค์กับโซเชียลมีเดียในท้องถิ่น

ทั้งนี้ผู้ประกอบการและหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวควรทราบว่าผู้บริโภคชาวจีนจะโยงเอาเว็บไซต์ที่ไม่ตรงประเด็นไว้กับประสบการณ์ที่ไม่ดีและการขาดความเคารพต่อพวกเขา
ความยั่งยืน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลกกำลังก้าวสู่โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้นแต่ก็ยังประสบกับความท้าทายและอุปสรรคต่างๆ ปัจจัยภายนอก เช่น ความกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อภาคการท่องเที่ยวในการทำให้มันเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (greener) แต่ความต้องการของผู้บริโภคต่อ “Sustainable holidays” (การมีวันหยุดพักผ่อนที่ยั่งยืน) ค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันการล่องเรือสำราญกำลังเข้ามาสู่ความสนใจในแง่ของความยั่งยืน หลังจากที่เคยมุ่งเป้าไปที่เครื่องบิน รถยนต์ และ โรงแรม

ศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ ลิปแมน ผู้ช่วยเลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกได้แสดงทัศนะต่อการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยสรุปคือ “Green Growth” หรือการเติบโตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นวิสัยทัศน์ใหม่สำหรับปี 2050 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราต้องสร้างเสถียรภาพให้แก่อุณหภูมิโลกเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะไม่รุนแรงเกินไป ซึ่งมาตรการใหม่นี้รวมถึงการปรับเปลี่ยนการลงทุนทุกรูปแบบ ตลอดจนการผลิตและการบริโภคให้เป็นรูปแบบที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ (Low carbon) เป็นองค์รวมเชิงสังคม เพื่อประโยชน์ของโลกและสิ่งที่อาศัยอยู่ในโลก ภาคการท่องเที่ยวจะมีบทบาทสำคัญในฐานะส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยจะมีสัดส่วนเป็น 5-10% ของเศรษฐกิจโลกและการจ้างงานทั่วโลก โดยมีการเติบโตรวดเร็วกว่า GDP และเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในทุกทศวรรษ

การเดินทางท่องเที่ยวในอนาคตจะต้องอยู่บนพื้นฐานของ วิธีการเดินทางที่ยั่งยืน จุดหมายปลายทางที่ยั่งยืน และวิถีชีวิตที่ยั่งยืน สินค้าทางการท่องเที่ยวทุกอย่างจะต้องมีความยั่งยืนและจะถูกควบคุมโดยจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว เพราะเป็นพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ

การศึกษาจะมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ โดย ผู้แทนของ UNWTO กำลังดำเนินการจัดตั้ง “Green Growth & Travelism Institute” ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของ World Environment University ที่จะให้การสนับสนุนด้านวิชาการสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการเติบโตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการขับเคลื่อนประเด็นแรกคือจะต้องมีกองทุนระหว่างประเทศให้การสนับสนุน
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ทั่วโลกยังยินดีที่จะจ่ายแพงกว่าเพื่อการท่องเที่ยววันหยุดอย่างยั่งยืน แต่ก็น่าสนใจที่นักท่องเที่ยว 1 ใน 5 ซึ่งเป็นกลุ่มเฉพาะที่สนใจจะจองการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนอย่างจริงจังรวมทั้งมีสัดส่วนสูงในตลาดเกิดใหม่

โดยทั่วไปนักท่องเที่ยวรับรู้ถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และมีสมดุลในการรับรู้ถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เห็นความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ในท้องถิ่นและการจ้างงานว่ามีความสำคัญเท่าเทียมกันในการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน จากการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวที่มีต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสามารถจำแนกนักท่องเที่ยวได้เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มที่มีความสมดุล หรือ balanced type (33%) เห็นความสำคัญของทั้ง 3 ด้าน เท่าเทียมกัน
2. กลุ่มที่มีความลังเลสงสัย หรือ skeptic (25%) เห็นความสำคัญของทั้ง 3 ด้านในระดับต่ำ
3. กลุ่มที่มองเชิงนิเวศ หรือ ecological type (15%) เห็นว่าแง่มุมด้านสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากที่สุด
4. กลุ่มที่มองท้องถิ่น หรือ Localised type (15%) เห็นว่าแง่มุมด้านความยั่งยืนของท้องถิ่นมีความสำคัญสูงสุด เช่น วัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น
5. กลุ่มเศรษฐสังคม หรือ socio-economic type (12%) เน้นความสำคัญของมิติด้านสังคมและเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ พบความแตกต่างอย่างมากในแต่ละประเทศซึ่งสะท้อนถึงลักษณะของประชากรและเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ
ตามปกตินักท่องเที่ยวจะจัดอันดับปัจจัยที่มีความสำคัญเมื่อจองการเดินทาง โดย 5 อันดับแรก คือ ภูมิอากาศ ราคา การเข้าถึงจุดหมายการท่องเที่ยว วัฒนธรรมและภูมิทัศน์ โดยมีความยั่งยืนอยู่ในอันดับที่ 7 แต่มี 22% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่จัดให้ความยั่งยืนมีความสำคัญอันดับ 1-3 ของปัจจัยที่มีอิทธิพลในการจองการเดินทาง ซึ่งกลุ่มนี้เรียกว่า “Sustainability-aware” ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจ และพบว่ามีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ในสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในตลาดเกิดใหม่ คือ อินเดีย บราซิล และรัสเซีย จากการสำรวจในส่วนที่สองถึงความพร้อมที่นักท่องเที่ยวจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อการมีวันหยุดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพบว่านักท่องเที่ยวชาวสวิสยินดีที่จะจ่ายเพื่อสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน แต่มีผู้ที่ตั้งใจจะจ่ายเพิ่มเพียง 1.5% จากราคาสินค้าทั้งหมดสำหรับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน โดยสรุปคือ กลุ่มตลาดที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่ม Sustainability aware ที่คำนึงถึงความสำคัญของความยั่งยืนเมื่อจองการเดินทางท่องเที่ยว แต่มีเพียง 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ที่จองการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนจริง ยิ่งกว่านั้นมีเพียงเล็กน้อยที่พร้อมจ่ายเงินมากกว่า เพื่อการท่องเที่ยววันหยุดอย่างยั่งยืน สินค้าการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนน่าสนใจสำหรับ Supplier ในฐานะของสินค้าเฉพาะกลุ่ม และอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด


การล่องเรือสำราญเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องพยายามปรับตัวให้เป็นการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน โดยมองว่าเป็นโอกาสมิใช่อุปสรรค ทั้งนี้ในช่วงปี 2005-2010 การล่องเรือสำราญทั่วโลกเติบโตขึ้นประมาณ 35% สำหรับในยุโรปการล่องเรือสำราญมีส่วนแบ่ง 6.5 ล้านคนต่อปีหรือประมาณ 2% ของการเดินทางท่องเที่ยวของชาวยุโรป จากสถิติของ European Travel Monitor แต่การเดินเรือยังปรับตัวช้าในเรื่องความยั่งยืน ซึ่งในทางทฤษฏีแล้วความยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมนี้ครอบคลุมทั้งวงจรชีวิต เริ่มตั้งแต่การต่อเรือจนถึงการจัดการเดินเรือ การบริโภคบนเรือ การกำจัดขยะ ตลอดจนความยั่งยืนด้านสังคมและวัฒนธรรม แต่ในทางปฏิบัติดูจะแตกต่างออกไป แล้วแต่มาตรการของสายการเดินเรือ และขณะนี้มีกลุ่มนักอนุรักษ์เริ่มมองธุรกิจการเดินเรืออย่างจริงจังโดยกลุ่ม Friends of the Earth ได้จัดเกรดของสายการเดินเรือโดยพิมพ์ลงใน Cruise Ship Environmental Report Card

ปัจจุบันอุตสาหกรรมการล่องเรือสำราญได้นำมาตรการ “Triple E” มาใช้โดยมีพื้นฐานคือ Engineering (การสร้างเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) Education (กิจกรรมต่างๆและมีการรายงานผล) และ Enforcement (การมีกฎหมายควบคุม) อย่างไรก็ดี บริษัทเดินเรือควรมีการควบคุมมากกว่านี้ โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และทำให้การปกป้องสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินเรือ ทั้งในเรื่องของกิจกรรมบนเรือและการทัศนาจรบนฝั่ง ที่นักท่องเที่ยวจะช่วยสร้างผลกระทบที่ดีต่อชุมชนท้องถิ่น โดยทำให้เกิดเป็นความรับผิดชอบที่ยั่งยืนซึ่งครอบคลุมผู้มีส่วนร่วมหลายภาคส่วนไว้ในมาตรการร่วมเดียวกัน ทั้งนี้อุตสาหกรรมเดินเรือสำราญควรดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเปิดเผยและถือว่าความยั่งยืนเป็นโอกาสของธุรกิจ

คนรวย VS. คนจน

คนฐานะร่ำรวยยังคงเดินทางท่องเที่ยวแม้จะเกิดวิกฤติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่คนที่มีรายได้ต่ำต้องลดระดับการเดินทางลง และคนมีเงินในเอเชียก็มีมากขึ้นกว่าในยุโรปและอเมริกา ขณะที่มีชาวยุโรปกลุ่มเล็กๆ ที่มีรายได้ต่ำ แต่ใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนค่อนข้างสูง

ทั่วโลกมีประชากรวัยทำงาน 1.4 พันล้านคน และ 30% ของจำนวนดังกล่าวมีรายได้เพียงพอสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยมีการเดินทาง 700 ล้านครั้งต่อปีตามข้อมูลของ World Travel Monitor และมี 31% ของการเดินทางต่างประเทศที่เป็นการเดินทางของผู้มีรายได้ต่ำ ขณะที่ 69% เป็นการเดินทางของผู้มีรายได้สูง
ในช่วงปี 2007-2010 มีความแตกต่างของรูปแบบการเดินทางอย่างมาก โดยผู้มีรายได้ต่ำเดินทางน้อยลงมาก ขณะที่ผู้มีรายได้สูงเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย 50% ของการเดินทางขาออกของนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย เป็นกลุ่ม “รายได้สูง” เทียบกับ 43% ของอเมริกาและ 39% ของยุโรป ทั้งนี้หากพิจารณาเฉพาะนักท่องเที่ยวยุโรป โดยทั่วไปกลุ่มที่มีฐานะจะมีอายุระหว่าง 30-59 ปี ขณะที่กลุ่มรายได้น้อยจะมีอายุต่ำกว่า 29 ปี และสูงกว่า 60 ปี กลุ่มรายได้สูงจะใช้จ่ายเฉลี่ย 930 ยูโรต่อคน/ทริป แต่ก็มีกลุ่มใหญ่ (38%) ที่ใช้จ่ายเพียง 250-749 ยูโรต่อคน/ทริป ซึ่งแสดงถึงความอ่อนไหวต่อราคาในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีฐานะดี ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้ต่ำจะใช้บริการที่พักระดับกลาง แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำจะใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อการเดินทาง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำประมาณ 590 ยูโรต่อคน/ทริป แต่มี 9% ของกลุ่มนี้ที่ใช้จ่ายสูงถึง 1,500 ยูโรหรือสูงกว่านั้น และ 21% ของกลุ่มนี้พักในโรงแรมระดับ 4-5 ดาวโดยมี 11% ที่เดินทางระยะไกล (เปรียบเทียบกับ 15% ของกลุ่มรายได้สูงที่เดินทางระยะไกล) และแม้ว่าระดับรายได้ของคนสองกลุ่มนี้จะต่างกัน แต่รูปแบบของการท่องเที่ยวเหมือนกัน โดยทั้งสองกลุ่มนิยม sun & beach holidays มากที่สุดตามด้วย city breaks และ tours ดังนั้นแม้ว่าผู้มีรายได้สูงทั่วโลกจะเดินทางมากกว่า แต่ก็มีผู้มีรายได้น้อยกลุ่มใหญ่ที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ และบางครั้งยังใช้จ่ายเงินมากกว่าที่เราคาดหมาย กลุ่มตลาดนี้จึงไม่ควรถูกละเลย โดยกลุ่มรายได้น้อยในยุโรปมีความสำคัญมากกว่าที่อื่นๆ ของโลก เพราะกลุ่มนี้สนใจที่จะเดินทางต่างประเทศและมีเงินพอที่จะเดินทางได้

Online Marketing
จุดหมายทางการท่องเที่ยวต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์การตลาดให้ทันสมัยและตามให้ทันลูกค้าบนโลกออนไลน์ เพราะในปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกหาข้อมูลด้วยตัวเอง ซื้อขายสินค้าและบริการรวมทั้งสื่อสารกับคนอื่นๆ บนอินเตอร์เน็ตผ่านโซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟน และแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้มากขึ้นในอนาคต โดยคาดว่าในสหรัฐอเมริกาจะมีการเติบโตของการขายออนไลน์ด้านการท่องเที่ยวถึง 46% โดยเป็น 145 พันล้านเหรียญสหรัฐฯจากปี 2009 ถึง 2015 จากการวิจัยของบริษัท eMarketer นักเดินทางจะใช้สมาร์ทโฟนเพื่อจัดการประสบการณ์เดินทางเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่การหาข้อมูล การจอง จนถึงการใช้งานขณะอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว และกิจกรรมภายหลังการเดินทาง นักท่องเที่ยวจะกลายเป็น “ social traveller” มากขึ้น คือใช้ online social network ขณะที่เดินทางท่องเที่ยว โดยแนวโน้มของนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นบนโทรศัพท์มือถือได้แก่ augmented reality functions, mobile city tours และ mobile payment

ประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวจำเป็นต้องพัฒนาแบรนด์ในยุค “post advertising” โดยแบรนด์จะต้องเป็นมากกว่าโลโก้และสโลแกน แบรนด์ที่ดีจะต้อง “แสดงออกถึงสมรรถนะสูงสุด (ของสินค้า) อย่างกะทัดรัด” (condensed expression of peak performance) และควรจะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ดึงดูดใจ และน่าเชื่อถือสำหรับกลุ่มเป้าหมาย จุดหมายทางการท่องเที่ยวต้องปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุปสงค์ นอกเหนือจากความต้องการพื้นฐาน 5 ประการของลูกค้า (ได้แก่ การพักผ่อน (relaxation), การค้นหา (discovery), ความสนุกสนาน (enjoyment), การเรียนรู้ (learning), และ การพบปะ (meeting)) ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า 12 ประการ ซึ่งครอบคลุม ทั้งเรื่องกิจกรรม การค้นพบตนเอง การดูแลสุขภาพ จนถึง Hyper-tourism และการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน และเหนือสิ่งอื่นใด แหล่งท่องเที่ยวควรกำหนดตำแหน่งของตนเองในแง่ของ Theme มิใช่ในเชิงภูมิศาสตร์ โดยใช้ความแตกต่างของ “ประสบการณ์” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับเป็นแนวทาง

ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือ Tiscover ซึ่งเป็นการทำการตลาดออนไลน์ของบริษัทในออสเตรียที่ขายแหล่งท่องเที่ยวในออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี และอิตาลี โดยมี Themes ของการท่องเที่ยวและบูรณาการกับการจองห้องพักออนไลน์ซึ่งบริษัทนี้มีบริการดำเนินการตลาดออนไลน์ด้วย

ช่องทางการจองห้องพักออนไลน์อีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้ชื่อ Wimdu ตั้งอยู่ในเบอร์ลินเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2011 เสนอที่พักราคาถูกที่เป็นส่วนตัว โดยขณะนี้มีฐานข้อมูลที่พัก 35,000 แห่ง ในกว่า 100 ประเทศ และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้พบปะกับคนท้องถิ่น พักในบ้านของคนท้องถิ่น และค้นหา “ส่วนที่ซ่อนอยู่” ของแหล่งท่องเที่ยวซึ่งมีเฉพาะคนท้องถิ่นเท่านั้นที่รู้ เป็นการผสมผสานระหว่างโซเชียลเน็ตเวิร์คและลิสต์รายชื่อของที่พัก โดยมีการตรวจสอบคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้บริการผิดวัตถุประสงค์


ที่มา: ITB World Travel Trends Report 2011/2012 www.itb-berlin.com/library
เรียบเรียง :
โศรยา หอมชื่น  http://etatjournal.com/web/menu-read-web-etatjournal/menu-2012/menu-2012-jan-mar/382-12555-ipk-international

มั่งคั่งอย่าง วอเร็น บัฟเฟตต์

29/7/56

“ตลาดในโลกนี้เป็นของ ซี.พี.” มุมมอง “ธนินท์ เจียรวนนท์”ในนิตยสาร “Forbes Thailand”




ต้นเดือนกรกฏาคม 2556 นิตยสารฟอร์บส์ ประเทศไทย ได้นำเรื่องราวที่ได้จากการสัมภาษณ์ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) เผยแพร่ เขียนโดย นายนพพร วงศ์อนันต์ และ นิธิ ท้วมประถม ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

ไทย จีน และเอเชีย เล็กไปแล้วสำหรับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เจ้าตลาดธุรกิจการเกษตร อาหาร ค้าปลีก และโทรคมนาคม ที่สร้างฐานในประเทศไทย แล้วขยายการลงทุนไปค่อนโลก วันนี้ ซี.พี.ทุ่มเททรัพยากรมุ่งเข้าสู่การค้าบนโลกออนไลน์ เร่งวางเครือข่ายการกระจายสินค้า และสื่อสารไร้สาย สนับสนุนการเติบโตของสินค้าในเครือ หลังกระโจนเข้าสู่ธุรกิจการเงินในจีน

“เราไม่ได้มองเฉพาะเมืองจีน ซี.พี.มองอะไร เป็นระดับโลก ...ตลาดในโลกนี้เป็นของซี.พี. ...คนเก่งในโลกนี้เป็นของซี.พี. วัตถุดิบในโลกนี้เป็นของซี.พี. เงินในโลกนี้เป็นของซี.พี. อยู่ที่ว่าเรามีความสามารถเอาเงินเขามาใช้รึเปล่า ผมมองระดับโลก ไม่เฉพาะเมืองไทย หรือเมืองจีน ถ้ามีโอกาส ที่ใดมีโอกาส ที่นั่นเป็นของซี.พี.”

นี่คือ วิสัยทัศน์ของ ธนินท์ เจียรวนนท์ อภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 414,700 ล้านบาท (1.43 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) ในวัย 74 ปี ผู้ที่บอกกับ Forbes Thailand ว่า วันนี้ เขา “กึ่งรีไทร์กับกึ่งทำงาน”

“เดิมวางแผนไว้ว่าจะเกษียณที่ 55... พอเจอวิกฤตเศรษฐกิจ (ปี 2540) ตอนอายุ 58 ตอนนั้น เหลือค้าปลีก กับเทเลคอม นอกนั้นมอบออกไปหมด หลังวิกฤตเศรษฐกิจก็ดึงกลับเข้ามาเต็มๆ จากนี้ไปคิดว่าคงจะกึ่งรีไทร์กับกึ่งทำงาน” ธนินท์กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์ บนชั้น 34 ของตึกทรูทาวเวอร์ เป็นการสัมภาษณ์พิเศษกับสื่อไทยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี และเป็นครั้งแรกที่พ่อและลูกชายถ่ายรูปร่วมกัน
 


 

วัย 74 ปีสำหรับหลายคน อาจเป็นวัยที่พักผ่อนอยู่กับบ้าน เลี้ยงหลาน ปลูกต้นไม้ เข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่สำหรับธนินท์แล้ว เขายังคงกระฉับกระเฉง วางเป้าหมายทางธุรกิจให้เครือฯ คิดค้นโครงการใหม่ๆ และเดินทางไปทั่วโลกอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย วันสัมภาษณ์ที่เขาให้ Forbes Thailand เกิดขึ้น 2 วัน หลังเดินทางกลับจากสหรัฐ และยุโรป และ1 วัน ก่อนเดินทางไปจีน

เครือ ซี.พี. เจ็บตัวไปไม่น้อย เมื่อรัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาทในปี 2540 จำใจต้องดึงยักษ์ค้าปลีกจากอังกฤษ Tesco เข้ามาร่วมทุนใน Lotus Supercenter ต้องขายหุ้นห้างค้าส่ง makro ออกไปให้บริษัทแม่เชื้อสายดัตช์ ลดสัดส่วนถือครองจาก 30% เหลือ 13.4% ก่อน มาซื้อคืนทั้งหมดเมื่อเดือนเมษายน (อ่าน C.P.’S 2 MEGA DEALS IN 2013) ธุรกิจโทรคมนาคมในขณะนั้น ต้องเป็นหนี้สินล้นพ้น แต่ 16 ปีผ่านไป เครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังเติบโตแผ่อาณาจักร ครอบคลุมประเทศไทย อาเซียน และทั้งโลก

มาวันนี้ 4 บริษัทของ 3 ธุรกิจหลักในเครือ ซี.พี. ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF) โทรคมนาคม (True Corp.) ค้าปลีกและค้าส่ง (CP All PCL และบริษัท สยามแมคโคร จำกัด(มหาชน)) ล้วนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่ารวมของตลาด (market capitalization) กว่า 9 แสนล้านบาท (มูลค่าเมื่อกลางมิถุนายน 2556) เฉพาะ CPF บริษัทเดียวมีบริษัทลูกที่ลงทุนในไทยและต่างประเทศรวม 127 แห่ง ในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ส่วนยอดขายรวมของทั้งเครืออยู่ที่ 3.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9.9 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 (ตัวเลขล่าสุดที่ทางซี.พี.เปิดเผยต่อสาธารณะ)

ซี.พี. เป็นนักลงทุนต่างประเทศเจ้าแรกที่เข้าไปลงทุนในจีน เมื่อปี 2522 หลังรัฐบาลคอมมิวนิสต์แผ่นดินใหญ่เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ จวบจนสิ้นปี 2555 มูลค่าการลงทุนรวมของเครือในจีนอยู่ที่ 9 พันล้านเหรียญ หรือ 2.7 แสนล้านบาท มูลค่าดังกล่าวไม่รวมอภิมหาดีลที่ ซี.พี. สร้างความประหลาดใจไปทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ และภูมิภาคเอเชีย เมื่อประกาศเข้าซื้อหุ้น 15.57% ของ Ping An Insurance บริษัทประกันแถวหน้าของจีน เมื่อปลายปี 2555 จาก HSBC ธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลก ด้วยวงเงินมหาศาลถึง 9.38 พันล้านเหรียญ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งในฮ่องกงถึงกับกล่าวติดตลกกับสำนักข่าว “รอยเตอร์ส” ว่า “ต่อไปผู้ถือหุ้นทุกคนของ Ping An จะได้รับแจกไก่ทอดคนละถังจากทุกกรรมธรรม์ที่พวกเขาซื้อ”

ชีวิต “กึ่งทำงาน” ของ ธนินท์ ในวันนี้ คือ การบุกเบิกธุรกิจใหม่ให้สอดรับกับทิศทางทางธุรกิจของเครือฯทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเป้าหมายหลักของ ซี.พี. คือ การลงทุนในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะเครือข่ายการขาย กระจายสินค้าในประเทศ เพื่อรองรับการเป็น “ครัวของโลก”

นอกจากการพัฒนาการจัดจำหน่ายตามช่องทางปกติแล้ว จากนี้ไป ซี.พี. จะให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนาระบบ e-commerce และ logistics ของเครือฯ สร้างเครือข่ายศูนย์กระจายสินค้า (distribution centers) รวมทั้งให้ความสำคัญกับการค้าบนโลกออนไลน์มากขึ้น โดยใช้ ทรูเป็นหัวหอกในการบุกเบิกและเชื่อมโยงธุรกิจ e-commerce ของทั้งเครือ

“ต่อไปซื้อของไม่ต้องไปมอลล์แล้ว เราสร้างมอลล์ในอากาศ ไม่ต้องไปก่อสร้าง ใช้ซอฟแวร์เข้าไป ร้านค้านาย ก นาย ข ก็มาเช่า พื้นที่ แทนที่ไปเช่าพื้นที่จริง เราขยายได้มากมาย วันหนึ่งจะเห็นภาพ 3 มิติ เข้าไปในมอลล์ เรากำลังเดินเข้าร้านค้า เสื้อผ้า หนีไม่พ้น คือ ทิศทางที่เราไป ใครไม่ทำก่อน ก็จะล้าหลัง... สรุปแล้วในอนาคต หนีไม่พ้นอินเตอร์เน็ต e-commerce ถ้าธนาคาร ก็ e-banking ต่อไปแบงก์ไม่ต้องมีสาขา สาขาอยู่บนอากาศ ไม่ต้องมีตัวตน ใครไป e-banking ก่อน ก็ชนะ ตั้งสาขาไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย ตั้งกี่สาขาก็อยู่บนเว็บไซต์ ”

ธนินท์ มองว่า ประเทศไทยและคนไทยยังช้ากว่าจีนในเรื่องจำนวนคนใช้คอมพิวเตอร์ และการซื้อขายออนไลน์ ต้องใช้เวลาประมาณ 10 ปี กว่าที่ก้าวทันประเทศจีน โดยเขามองว่า การแจกคอมพิวเตอร์แทบเล็ตแก่เด็กนักเรียนทั่วประเทศเป็นขั้นตอนหนึ่งของการสร้างจำนวนผู้รู้คอมพิวเตอร์ให้มากขึ้น

กินหัว กินหาง
ในวิสัยทัศน์ของ ธนินท์ แล้ว ซี.พี. ซึ่งเติบโตจากธุรกิจเมล็ดพันธุ์ มาสู่อาหารแปรรูป ค้าปลีก และโทรคมนาคมจะยังคงทำธุรกิจ อาหาร ต่อไปโดยแบ่งเป็น “อาหารสมอง” และ “อาหารปากท้อง”

ในส่วน อาหารสมอง ซี.พี. ใช้ทรูเป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่ ทรูวิชั่น ทรูมูฟ การเพิ่มช่องทางรับรู้ข่าวสารทั้งบนเคเบิ้ลทีวี และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตั้งแต่ดูข่าวโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์ ดูภาพยนตร์ รวมทั้งการเตรียมการเข้าประมูลใบอนุญาตดิจิตัลทีวี ที่หลายกลุ่มทุนให้ความสนใจ

ทางด้านอาหารปากท้อง ธนินท์ตีโจทย์ทะลุว่า การเป็น “ครัวของโลก” ของ ซี.พี. นั้น ต้องเป็นไปตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงนานาชาติ ต้องเริ่มจากสินค้าเกษตรแปรรูปสู่มือผู้บริโภค ซี.พี. ต้องสร้างเครือข่ายการขายที่แผ่ขยาย ครอบคลุมไปทุกหัวระแหงของประเทศ โดยเริ่มจากเมืองใหญ่สู่หมู่บ้าน ด้วยโครงการ “ตู้เย็นชุมชน” ที่จำหน่ายสินค้าพร้อมปรุงของ ซี.พี. ในระดับหมู่บ้าน ส่วนในระดับชุมชนเมืองนั้น ซี.พี.จะมี 2 ประสาน คือ CP-All และ makro ในการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย

ธนินท์ บอกว่า ต่อไป makro จะเป็น “ลูกพี่” ของร้านโชห่วย หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงภัตตาคาร โดยจะช่วยเหลือตั้งแต่ การจัดหาสินค้าราคาถูกให้ร้านค้าย่อย ด้วยความรู้จาก CP All จะช่วยสอนการจัดหน้าร้าน ชั้นวางสินค้า ในส่วนแม่ค้าอาหาร หาบเร่ แผงลอยนั้น makro จะจัดหาอาหารสด ราคาถูก ครบครัน พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ มารยาทการบริการ

“ลูกค้า 7-Eleven กับโชห่วยต่างกัน 7-Eleven เปิด 24 ชั่วโมง สะดวกซื้อ โชห่วยขายในชุมชน ที่เล็กไป 7-Eleven ขายไม่ได้ แต่ร้านโชห่วยไปได้ทุกมุม ที่ 7-Eleven ไปไม่ถึง โชห่วย จะเป็นลูกค้าของ makro...โชห่วย ไม่ได้มาแข่งกับ 7-Eleven ถ้า โชห่วยใหญ่จนพร้อมก็มาเป็น franchisee ของ 7-Eleven ต่อ”

ความสำเร็จด้านค้าปลีกของ ซี.พี. ในวันนี้ ได้บทเรียนจากความล้มเหลวของการร่วมทุนกับ Walmart ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ค้าปลีกสัญชาติสหรัฐ อยู่ไม่น้อย ซี.พี.กับ Walmart เคยร่วมเปิดสาขาร้านค้าปลีกขนาดยักษ์ 3-4 แห่งในจีน และฮ่องกงในปี 2538 ก่อนแยกกันในปี 2540

กึ่งเกษียณ กับ แผนถ่ายโอนอำนาจ
ธนินท์ บอกว่า ชีวิต “กึ่งเกษียณ” ของเขาตอนนี้ คือ การพักผ่อน ทำให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น ทำให้ทำงานได้นานขึ้น โดย เขาไม่ได้เดินนำหน้า แต่ “นำอยู่ข้างๆ” หนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชา บุกเดินข้างหน้า เขายึดคติว่า ลูกหลานของเขา จะกลับมาทำงานในธุรกิจที่สำเร็จแล้วไม่ได้ ต้องไปริเริ่มของใหม่ เขาเปิดโอกาสให้มืออาชีพที่บริหารกิจการในเครือที่ดีอยู่แล้ว ทำให้ดียิ่งขึ้น โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ศุภชัย ที่ต้องไปริเริ่มธุรกิจโทรคมนาคม ตั้งแต่ธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานภายใต้ บริษัทเทเลคอม เอเซีย หรือ ทีเอ ก่อนจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจสื่อสารอย่างเต็มตัว ทั้งโทรศัทพ์เคลื่อนที่ (ทรูมูฟ) และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ทรู ออนไลน์)

“ถ้าเรามีผู้บริหารที่เก่งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาลูกไปทำในบริษัทนั้น เพราะถ้าลูกเก่ง บริษัทก็โตเหมือนเดิม แต่เราเสียคนเก่งไป 1 คน แต่ถ้าลูกไม่เก่ง แล้วทำบริษัทแย่ลง ธุรกิจก็ไปไม่ได้ สู้ให้ลูกไปสร้างธุรกิจใหม่ๆ ดีกว่า ธุรกิจเดิมที่ผู้บริหารทำดีอยู่แล้ว ก็ปล่อยเขารับผิดชอบไป”

ธนินท์ ยังไม่บอกว่า เขาจะวางมือจากธุรกิจเมื่อไร และเขาเปิดเผยถึง แผนการโอนอำนาจให้ลูกชายแต่ละคนในอนาคตว่า เขาจะมอบให้ลูกชายคนโต สุภกิต ซึ่งปัจจุบันดูแลธุรกิจเกือบทั้งหมดของซี.พี.ในจีน เป็นประธาน (chairman) ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยลูกชายคนรอง ณรงค์ ที่ดูแลธุรกิจค้าปลีกในจีนในปัจจุบัน จะขึ้นเป็นรองประธาน (vice chairman) หรือ เป็น chairman ของกลุ่มค้าปลีก กำกับดูแล Tesco-Lotus, CP All, CP Fresh Mart โลตัสในจีน และ makro ส่วนศุภชัย ลูกชายคนเล็กซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ True Corp. ขึ้นเป็น CEO ของ เครือฯ

ชื่อของ ศุภชัย ลูกชายคนเล็ก ดูจะเป็นที่คุ้นหูที่สุดในที่สาธารณะในบรรดาลูกชาย 3 คน เจ้าหน้าที่อาวุโส ซี.พี. คนหนึ่ง ให้นิยามเขาว่า เป็น คนสุขุม ลุ่มลึก รักครอบครัว ส่วนณรงค์ ลูกคนกลาง มีความเป็นนักวิชาการ และมักไปสรรหาคนไทยเก่งๆที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ (Ivy League) ให้มาร่วมงานกับเครือฯ และสนใจการเลี้ยงนกพิราบ ที่เป็นงานอดิเรกสุดโปรดของธนินท์ด้วย ส่วนสุภกิต ลูกคนโตนั้น มีจุดเด่นด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้ากับคนได้ทุกระดับ เป็นที่กว้างขวางในจีน และให้ความสนใจสะสมดาบและปืนโบราณ จากทั่วโลก

“จุดเด่นของทั้ง 3 คนมารวมอยู่ในตัวท่านประธาน”

นี่คือส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ ของบุคคลที่มั่งคั่งอันดับต้นๆ คนหนึ่งในประเทศไทย บุคคลที่มีมุมมอง “กว้างและไกล” มากกว่าที่ใครหลายคนจะคาดคิด และเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อน “อาณาจักร” ซี.พี. ที่มีพนักงานในมือเกือบ 300,000 คนทั่วโลก ให้ก้าวจากเอเชียสู่ตลาดโลก ดั่งความมุ่งมั่นของเจ้าสัวที่ว่า
“ตลาดในโลกเป็นของซี.พี. ......เงินในโลกเป็นของซี.พี.”


C.P.’S 2 MEGA DEALS IN 2013
เจ้าสัวธนินท์สร้างความประทับใจไปทั่วภูมิภาคตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และต้นปีนี้ ด้วยการเข้าซื้อกิจการ 2 แห่ง ด้วยวงเงินกว่า 4.7 แสนล้านบาท เขาเล่าให้ฟังถึงแนวคิดการซื้อ Ping An Insurance(Group) Co. และบริษัทสยามแมคโคร จำกัด(มหาชน)


PING AN
ซี.พี.กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทประกันหมายเลข 2 ของจีน ในสัดส่วน 15.57 % ด้วยวงเงินมหาศาลถึง 287,966 ล้านบาท เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธนินท์บอกว่า Ping An ไม่ใช่เพียงแค่บริษัทประกัน แต่เป็นกลุ่มธุรกิจการเงินครบวงจรมีทั้งธนาคาร บริษัทลิสซิ่ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ และกองทุนรวม ที่จะช่วยสนุบสนุนธุรกิจซี.พี.ในจีนและทั่วโลก “เราเข้าไป เราจะได้ข้อมูลทุกด้าน ซึ่งข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก ยุคสมัยใหม่ แพ้หรือชนะอยู่ที่ใครได้ข้อมูลที่ 100 % ยิ่งได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เวลาวางแผนตัดสินใจอะไรจะได้ชนะ”

การก้าวเข้าสู่ธุรกิจประกันของซี.พี. ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อปี 2543 ซี.พี. ได้เคยร่วมทุนในธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยกับกลุ่ม Allianz จากเยอรมนี แต่ในปี 2555 ซี.พี.ขายหุ้นที่เหลือทั้งหมดให้กับกลุ่มบริษัท ศรีอยุธยาแคปิตอล จำกัด ซึ่งเจ้าสัวบอกถึงสาเหตุที่ถอนตัว ก็เพราะบทบาทของซี.พี.เป็นเพียงผู้ตามเท่านั้น และการขายหุ้นในครั้งนั้นก็ได้ “กำไร”

ประสบการณ์คราวนั้น สอนให้ซี.พี.ก้าวใหญ่ขึ้น ธนินท์มองว่า Ping An จะโตไปอีกหลายเท่า “เขามีระบบบริหารทันสมัยที่สุด โอกาสที่จะโตมหาศาลต่อไป Ping An ไปที่ไหน ซี.พี.ก็ได้ข้อมูลที่นั่น”

นอกจาก “ข้อมูล” แล้ว สิ่งที่เจ้าสัวต้องการอีกอย่าง คือ การสร้างเครือข่ายด้านการขาย และ logistics เพื่อส่งสินค้าในเครือซี.พี. ให้ถึงมือลูกค้าให้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ธนินท์ประกาศซื้อหุ้น บริษัท สยามแมคโคร จำกัด(มหาชน) (makro) จำนวน 64.35 % จากบริษัท SHV Netherlands B.V.เมื่อ 3/4/56 ด้วยวงเงิน 188,880 ล้านบาท (เขาปฏิเสธว่าตัวเลขนี้ ไม่เกี่ยวของกับเรื่องฮวงจุ้ย เป็นเหตุ “บังเอิญ”) ซึ่งราคานี้เจ้าสัวยืนยันว่าเป็นราคาที่คุ้มค่า เพราะเป็น “ของดี” สามารถนำต่อจิ๊กซอร์ธุรกิจของซี.พี. ได้ทั้งการเป็นช่องทางการขายสินค้าของกลุ่มให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นโชห่วย และภัตตาคาร ร้านอาหาร การเป็นศูนย์กระจายสินค้า(DC) ให้กับกลุ่มซี.พี.เพื่อกระจายสินค้าต่อไปยังร้าน 7-Eleven กว่า 7 พันแห่ง ซึ่ง makro มีสาขาอยู่ทั้งหมด 58 แห่งทั่วประเทศ เป็นสาขาในต่างจังหวัด 50 แห่ง นั่นหมายความว่า ซี.พี.มี DC เพื่อส่งสินค้าต่อไปยังร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น และในอนาคตซี.พี. จะให้ 7-Eleven จัดส่งสินค้าในร้านไปถึงบ้านลูกค้า

“โอกาสของซี.พี.ยังมีอีกมาก อย่างเรื่อง logistics ที่เราต้องสร้างเครือข่ายการขนส่งระหว่างบริษัทสู่บริษัท (B to B) และระหว่างบริษัทสู่ลูกค้า (B to C) ซึ่งในเรื่องของการส่งอาหารสดถึงบ้านยังเป็นโอกาสที่ให้เราเข้าไปทำ”

makro ไม่ใช่เป็นเพียงฐานธุรกิจในไทยเท่านั้น แต่เจ้าสัวยังจะใช้ makro บุกตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในอาเซียน และจีน รวมถึงประเทศที่กำลังพัฒนา เพื่อนำซี.พี.บุกสู่ตลาดโลก


ข่าววันที่ : 8 กรกฎาคม 2556
http://www.cpthailand.com/Default.as...articleId=1937

23/7/56

ความแตกต่างของประกันวินาศภัย กับ ประกันชีวิต

ความแตกต่างของประกันวินาศภัย กับ ประกันชีวิตในหลักที่สำคัญอยู่ที่

ประกันวินาศภัย เล่นกับ ภัยที่ไม่แน่นอน จึงใช้คำว่า insurance และคุ้มครองทรัพย์สินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าที่แน่นอน จ่ายเกินกว่ามูลค่าที่แน่นอนไม่ได้ จึงต้องมีการประเมินมูลค่าของทรัพย์สินที่ทำประกันภัย

แต่ ประกันชีวิต เล่นกับ ภัยที่แน่นอน จึงใช้คำว่า assurance จึงเห็นบางบริษัทใช้คำนี้ เพราะเล่นเสี่ยงกับภัยที่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ถ้าเกิดช้าก็ได้กำไร แต่เกิดเร็วก็ขาดทุน และมูลค่าไม่แน่นอน เพราะภัยที่คุ้มครองคือชีวิตของผู้ทำประกันภัย ซึ่งไม่สามารถตีค่ามูลค่าที่แน่นอนได้ เพราะศักยภาพในการหารายได้ของคนมีศักยภาพไม่แน่นอน จึงสามารถเลือกทำประกันภัยชีวิตได้ไม่จำกัดตามศักยภาพ

คณิตศาสตร์ประกันภัย  ความน่าจะเป็นของโมเดลธุรกิจ 2 แบบจึงต้องต่างกัน วินาศภัย คำนวณความน่าจะเป็นของการเปิดภัยในรอบหลายๆ ปี แล้วคำนวณเป็นความเสี่ยง กับ ค่าเบี้ยประกันภัยที่จะคุ้มครองได้ บวกกำไรเข้าไปในระดับเหมาะสม จึงต้องมีการสำรองค่าเบี้ยไว้ส่วนหนึ่ง เพราะเราไม่รู้ว่าภัยจะเกิดขึ้นเมื่อใด เราเรียกว่าเงินกองทุนประกันภัย ที่ คปภ. จะมีการคำนวณไว้ทุก ๆ ปี

สำหรับ ประกันชีวิต คำนวณความน่าจะเป็นของความแน่นอนของชีวิตคน ผ่าน อัตราการตายโดยเฉลี่ยของชีวิตคนในแต่ละช่วงอายุ แล้วคำนวณค่าเบี้ยประกันภัย บวก กำไรเข้าไปในระดับที่เหมาะสม และยังมีการคำนวณค่าเบี้ยรประกันภัยในช่วงปีแรก ๆ ไว้ให้ผู้คุ้มครองจ่ายสูงกว่าปกติ เพื่อไปชดเชยในช่วงที่อายุมากขึ้น จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตสูงขึ้น เพราะเราใช้ระบบการจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตเป็นแบบคงที่ไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงการเสียชีวิตของผู้มีอายุสูง ๆ จะสูงขึ้น ก็จะต้องมีการคำนวณเงินกองทุนประกันชีวิตที่ คปภ. จะมีการให้คำนวณไว้ทุก ๆ ปีเหมือนกัน


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>


การคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย โดย ชญณา พูลทรัพย์

การ กำหนดอัตราเบี้ยของการประกันภัยเป็นงานพื้นฐานของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนงานที่แตกต่างกัน แต่หากมีความเกี่ยวเนื่องกัน คือ การคำนวณต้นทุนความเสียหายที่คาดว่าจะเป็น (expected loss cost) และ การคำนวณราคาที่เหมาะสม (optimal price)

การคำนวณต้นทุนความเสียหายที่คาดว่าจะเป็น เป็นส่วนงานที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยสามารถคำนวณได้ โดยอาศัยองค์ความรู้ และความชำนาญทางสถิติ นอกจากนี้ ในการที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อคาดคะเนอนาคต ก็จำต้องอาศัยความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เพื่อให้ได้ปัจจัยแนวโน้ม (trend factor) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของการคำนวณต้นทุนความเสียหายที่คาดว่าจะเป็น

ส่วนการคำนวณราคาที่เหมาะสมเพื่อใช้ในภาคธุรกิจนั้น มีปัจจัยที่สำคัญหลายปัจจัยเข้ามามีบทบาทในการตั้งราคา อาทิ ภาวะการแข่งขันทางการตลาด ความต้องการของลูกค้าที่อาจพอใจกับอัตราเบี้ยประกันฯ ที่แบ่งกลุ่มความเสี่ยงไม่ซับซ้อนเกินไป

นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงจำต้องใช้ศาสตร์และศิลป์เพื่อให้ได้มาซึ่งอัตรา เบี้ยประกันภัยที่จะนำพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น การพัฒนานักคณิตศาสตร์ประกันภัยรุ่นใหม่จึงมีแนวโน้มที่จะพัฒนาทักษะทาง ธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์ ไปพร้อมๆ กับเทคนิคทางสถิติและคณิตศาสตร์ที่ยังคงเป็นหัวใจหลัก


ในครั้งนี้จะเป็นการนำเสนอวิธีการคำนวณ เบี้ยประกันภัยของการประกันวินาศภัยในภาพรวม โดยไม่จำเพาะเจาะจงประเภทความความคุ้มครองใดๆ และจะชี้ให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ รวมทั้งองค์ประกอบสำคัญที่ควรพิจารณาเพื่อการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย

วัตถุประสงค์ของการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) วัตถุประสงค์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง (2) วัตถุประสงค์ที่ต้องคำนึงถึง

1. วัตถุประสงค์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ ? อัตราเบี้ยประกันภัยต้องครอบคลุมความสูญเสีย (loss) และค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามการคาดคะเน เป็น ที่ทราบดีอยู่แล้วว่าธุรกิจจะดำรงอยู่ได้ บริษัทจะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งแหล่งรายได้ที่สำคัญมาจากเบี้ยประกันภัยและผลตอบแทนจากการลงทุน ส่วนรายจ่ายเกิดจากค่าสินไหมทดแทนซึ่งจ่ายให้แก่ผู้เอาประกันภัย, ค่าใช้จ่ายในการขาย, ภาษี และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะถูกนำมาคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อให้สอดคล้องตามกลุ่มความเสี่ยงภัยต่างๆ ? อัตราเบี้ยประกันภัยต้องเพียงพอต่อความคุ้มครองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ใน การคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยนั้น นักคณิตศาสตร์ต้องคำนึงถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดว่าจะเกิดด้วย เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ซึ่ง 100 ปีเกิดครั้ง โดยบริษัทต้องคำนึงถึงคู่แข่ง และความพึงพอใจของลูกค้าด้วย หากเบี้ยประกันภัยสูงเกินไป บริษัทก็จะสูญเสียฐานลูกค้าไป แต่ถ้าเบี้ยประกันภัยต่ำเกินไป บริษัทก็จะขาดทุน หรืออาจมีกำไรไม่มากพอที่จะนำไปขยายธุรกิจในอนาคตได้ รวมถึงผลกระทบต่อการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นด้วย ? อัตราเบี้ยประกันภัยต้องจูงใจ หรือกระตุ้นให้ผู้ถือกรมธรรม์ช่วยควบคุมความเสียหาย การ จัดแบ่งกลุ่มความเสี่ยงที่ดีจะช่วยจูงใจให้มีการลดค่าสินไหมทดแทนได้ เช่น ผู้ขับขี่ประวัติดี, บ้านหรืออาคารที่ติดอุปกรณ์ดับเพลิงหรือสัญญาณกันขโมย จะได้ส่วนลดเบี้ยประกันภัย เป็นต้น ข้อดีของการกระตุ้นให้ลดความสูญเสีย นอกจากผู้เอาประกันจะซื้อความคุ้มครองด้วยเบี้ยประกันภัยที่ถูกลงแล้ว สังคมยังได้ประโยชน์ในแง่ของการลดอุบัติเหตุ, การบาดเจ็บ และความเสียหายของทรัพย์สินด้วย ? อัตราเบี้ยประกันภัยต้องเป็นที่ยอมรับได้ของกรมการประกันภัย (หน่วยงานควบคุมดูแลธุรกิจประกันภัย) การ ตรวจสอบของกรมการประกันภัยจะมุ่งเน้นที่เบี้ยประกันภัยต้องเพียงพอต่อการ ดำเนินธุรกิจ แต่เบี้ยประกันภัยก็ต้องไม่สูงเกินไป และต้องยุติธรรมสำหรับแต่ละกลุ่มเสี่ยง โดยกรมการประกันภัยมักจะขอเอกสารประกอบการคำนวณเบี้ยประกันภัยจากบริษัท เพื่อนำมาตรวจสอบ พร้อมกับรับฟังการวิจารณ์จากนักกฎหมายและจากประชาชนด้วย และกรมการประกันภัยเองยังสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือแม้กระทั่งปฏิเสธอัตราเบี้ยประกันภัยที่บริษัทเสนอไปได้ ดังนั้น นักคณิตศาสตร์จึงต้องเตรียมตอบข้อโต้แย้งทุกแง่มุมเพื่อให้มีเหตุผลเพียงพอ สำหรับการยอมรับในวิธีปฏิบัติ


2. วัตถุประสงค์ที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ ? อัตราเบี้ยประกันภัยควรมีเสถียรภาพ การ ปรับอัตราเบี้ยประกันภัยขึ้นลงตามความเหมาะสมของบริษัทอยู่ตลอดเวลานั้น ในบางครั้งอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความไม่แน่นอนจนเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจ ได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าภัยบางอย่างเกิดนานๆ ครั้ง บริษัทก็ต้องคิดถึงความสูญเสียเผื่อไว้เพื่อเกลี่ยเป็นระยะยาว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความผันผวนของเบี้ยประกันภัย ? ควรมีการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยตามความเหมาะสม ใน บางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องปรับอัตราเบี้ยประกันภัยอย่างทันท่วงที เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายบางประการที่กระทบต่อการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น ? อัตราเบี้ยประกันภัยควรง่ายต่อการทำความเข้าใจ เพื่อ ผลประโยชน์ทางการตลาด ตารางอัตราเบี้ยประกันภัยที่ได้ต้องไม่ซับซ้อนจนเกินไปจนยากต่อการทำความ เข้าใจของลูกค้าหรือตัวแทนขาย อีกทั้งยังต้องง่ายต่อการอธิบายให้ผู้บริหารและกรมการประกันภัยเข้าใจเพื่อ การขออนุมัติอัตราดังกล่าว

การใช้อัตราเบี้ยประกันภัยที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ยังช่วยให้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการหรือเทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากในการคิดคำนวณ ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่จำเป็นตามมาอีกด้วย

หน่วยเสี่ยงภัย (exposure unit) คือ หน่วยซึ่งต้นทุนค่าความเสียหายแปรผันเป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนหน่วยนั้น เช่น ถ้า 1 หน่วยเสี่ยงภัย มีต้นทุนค่าความเสียหาย 100 บาท ดังนั้น 2 หน่วยเสี่ยงภัย ก็จะมีต้นทุนค่าความเสียหาย 200 บาท หน่วยเสี่ยงภัยที่ดีนั้นควรสามารถวัดค่าความเสียหายได้ถูกต้อง ง่ายต่อผู้รับประกันภัยในการกำหนด และยากต่อผู้เอาประกันภัย และผู้พิจารณารับประกันภัยในการบิดเบือน การเลือกหน่วยเสี่ยงภัย และปัจจัยเสี่ยงภัย มูลค่า ความเสียหายมากหรือน้อยนั้นขึ้นกับหลายๆ ปัจจัย นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะทำการวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าความ เสียหายอย่างเป็นระบบโดยใช้วิธีการทางสถิติ หรือคณิตศาสตร์ประกันภัย (statistic/actuarial criteria) ประกอบกับความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ (operational criteria) ความยอมรับของสังคม (social criteria) และเงื่อนไขของกฎหมาย (legal criteria) ทั้งนี้ปัจจัยที่มูลค่าความเสียหายมีผลกระทบเป็นสัดส่วนโดยตรงมากที่สุดจะ เป็นตัวเลือกสำหรับการถูกใช้เป็นหน่วยเสี่ยงภัย ซึ่งหน่วยเสี่ยงภัยนี้อาจไม่ใช่หน่วยเสี่ยงภัยแท้จริง (true exposure) ก็ได้ แต่เป็นเพียงตัวแทน (proxy) ของหน่วยเสี่ยงภัยแท้จริง เนื่องจากหน่วยเสี่ยงภัยแท้จริงนั้นมีความซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ตัวอย่างเช่น ในการวัดความเสี่ยงของประกันภัยรถยนต์ที่แท้จริงนั้นอาจเป็น ?ระยะทางของการใช้รถยนต์? คือ ถ้าใช้รถยนต์ไปเป็นระยะทางที่มากก็จะมีความเสี่ยงมาก หรือ ?เวลาที่ใช้รถยนต์? เช่น ถ้าใช้รถยนต์ในเวลากลางคืนหรือเวลาเร่งด่วน ก็มีความเสี่ยงกว่าใช้รถยนต์ในเวลากลางวันหรือช่วงบ่าย แต่ระยะทางหรือระยะเวลาของการใช้รถยนต์นั้นไม่เหมาะสมที่จะนำมาเป็นหน่วย เสี่ยงภัย ถึงแม้ว่า ?ระยะทางของการใช้รถยนต์? หรือ ?เวลาที่ใช้รถยนต์? จะสามารถวัดค่าความเสียหายได้ถูกต้อง แต่โดยปกติแล้วไม่มีผู้ใดบอกระยะทาง หรือ ระยะเวลาใช้รถยนต์ได้แน่นอนล่วงหน้า (ตอนทำประกันภัย) จึงทำให้ไม่สามารถคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยได้ นอกจากนี้ ผู้เอาประกันภัยยังสามารถที่จะบิดเบือนข้อมูลนี้ได้เพื่อให้ได้เบี้ย ประกันภัยต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการใช้ ?ระยะทางของการใช้รถยนต์? หรือ ?เวลาที่ใช้รถยนต์? นั้นบริหารจัดการได้ยาก จึงไม่ผ่าน operational criteria ในทางปฏิบัติจึงใช้ เดือนรถยนต์ (car-month) หรือ ปีรถยนต์ (car-year) เป็นหน่วยเสี่ยงภัยที่ถัวเฉลี่ยระยะทางและระยะเวลาของการใช้รถยนต์ในแต่ละ หน่วยแทน และได้ใช้หน่วยเสี่ยงภัยนี้เรื่อยมาและแทบไม่มีการถกเถียงเพื่อการ เปลี่ยนแปลงเลย ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อมูลค่าค่าความเสียหาย นั้นอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงภัย (risk factor), ตัวแปรกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย (rating variable)

ทั้งนี้ส่วนใหญ่ในการวิเคราะห์จะพบปัจจัยอื่นๆ นอกจากปัจจัยที่ใช้เป็นหน่วยเสี่ยงภัย หรือปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบกับค่าความเสียหาย แต่ไม่ได้ถูกนำเข้ามารวมในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย เนื่องจากไม่ผ่าน operational criteria, social criteria หรือ legal criteria ทว่าข้อมูลเหล่านี้ก็ยังเป็นข้อมูลอันเป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหารที่จะใช้ เป็นแนวทางกำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยง หรือนโยบายการตลาด เช่นเลือกเจาะตลาดส่วนที่เป็นหัวกะทิ (cream of the cup) เป็นต้น

ดังนั้น ถึงแม้ว่าตลาดการประกันภัยในประเทศไทยยังเป็นแบบ tariff market ที่มีการกำหนดพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยเอาไว้แล้วก็ตาม แต่การวิเคราะห์ข้อมูลทางคณิตศาสตร์ประกันภัยอย่างมีระบบและต่อเนื่องนั้น ก็สามารถช่วยในการวางแผนการตลาด อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือช่วยในการบริหารความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>


ใน ครั้งที่แล้วเราได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย การเลือกหน่วยเสี่ยงภัย และปัจจัยเสี่ยงภัยกันไปแล้ว ในครั้งนี้เราจะมาพูดถึงส่วนประกอบอื่นๆ ในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยกันต่อ... หน่วยเสี่ยงภัย/หน่วยรับประกัน/หน่วยคุ้มครอง (Exposure Unit) อัตรา เบี้ยประกันภัยจะแสดงอยู่ในรูปต่อหน่วยเสี่ยงภัย เช่น ประกันภัยรถยนต์ นับหน่วยเป็น ปีรถยนต์ (car year) ยกตัวอย่างเช่น ในกรมธรรม์ชนิด 6 เดือน ให้ความคุ้มครองรถยนต์ 3 คัน จะมีหน่วยเสี่ยงภัย 1.5 ปีรถยนต์ ซึ่งเบี้ยประกันภัยที่คิดจะเท่ากับผลคูณของอัตราเบี้ยประกันภัยกับจำนวน หน่วยเสี่ยงภัย นอกจากนี้ ยังมีหน่วยเสี่ยงภัยระบุเมื่อรับประกัน (written exposure), หน่วยเสี่ยงภัยรับ (earned exposure), หน่วยเสี่ยงภัยค้างรับ (unearned exposure) และ หน่วยเสี่ยงภัยรับ ณ ขณะนั้น (in-force exposure) แสดงตามตัวอย่างดังต่อไปนี้
Effective Date Written Exposure Earned Exposure In-Force Exposure
2003 2004 2003 2004 1/1/2004
1/1/2003 1 0 1 0 0
5/1/2003 1 0 0.667 0.333 1
9/1/2003 1 0 0.333 0.667 1
12/1/2004 1 0 0.083 0.917 1
Total 4 0 2.083 1.917 3

สำหรับหน่วยความคุ้มครองที่ดีนั้น ควรมีหลักเกณฑ์ดังนี้
- สามารถนับในเชิงปริมาณความเสียหายได้
- ง่ายต่อการประเมินเพื่อคำนวณเบี้ยประกันภัย
- ยากต่อการบิดเบือนข้อมูลจากผู้เอาประกันภัย
- ง่ายต่อการจัดเก็บและบริหารข้อมูล
- เป็นที่เข้าใจง่ายของลูกค้าและฝ่ายขาย

ความเบี่ยงเบนของอัตราเบี้ยประกันวินาศภัย
การ ประกันวินาศภัยนั้น ความเบี่ยงเบนของอัตราเบี้ยประกันภัยเกิดได้จากความถี่และขนาดของความ สูญเสียเป็นหลัก ส่วนอัตราดอกเบี้ยนั้นจะมีผลกระทบเฉพาะการประกันที่ใช้ระยะเวลาในการพิจารณา จ่ายค่าสินไหมทดแทนหลายปี เช่น การประกันความรับผิดที่ใช้เวลาในการตัดสินนาน...


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ส่วนแนวคิดในการคำนวณค่าเบี้ยประกันชีวิต และการตั้งสำรองเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งมีความสำคัญค่อนข้างมาก เพราะบริษัทประกันชีวิตมีความจำเป็นต้องสำรองเงินไว้สูงกว่าประกันวินาศภัย เพราะเป็นภัยเรื่องชีวิตของผู้ประกันภัยระยะยาว

เงินสำรองประกันภัย

ที่มาของเงินสำรองประกันภัย
อัตราเบี้ยประกันภัยและจำนวนเงินเอาประกันภัยคำนวณโดยใช้ตารางมรณะ คือ ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยแตกต่างกันตามอายุ เพราะเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น โอกาสที่จะตายย่อมมีมากขึ้นด้วย ตามธรรมชาติของคนแล้วเมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการประกอบอาชีพย่อมลดน้อยถอยลง ทำให้ไม่สามารถที่จะจ่ายเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นทุกปีได้ ดังนั้นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงคิดวิธีการแก้ปัญหา โดยให้อัตราเบี้ยประกันเท่ากันทุกปีแทนอัตราเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นทุกปีตามอายุของผู้เอาประกันดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเท่ากันทุกปีนี้เรียกว่า "เบี้ยประกันคงที่" (Level Premium) ผลของระบบการเก็บเบี้ยประกันคงที่นี้เอง ทำให้เกิดระบบเงินสำรองประกันภัยขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลที่อยู่ในวัยฉกรรจ์เป็นวัยที่มีความสามารถในการทำงานสูง มีระดับรายได้ดี และมีโอกาสที่จะมรณะต่ำ ดังนั้นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงคำนวณเบี้ยประกันที่บุคคลในวัยนี้ต้องชำระให้มากเกินกว่าที่จะต้องชำระตามระดับอายุของตน เพื่อนำเงินส่วนเกินนี้ไปชดเชยในระยะหลัง ๆ ที่ผู้เอาประกันมีอายุมากขึ้น แต่จะเสียเบี้ยประกันต่ำกว่าระดับอายุของตน
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันชีวิตที่จะต้องรับผิดชอบในการสะสมเงินส่วนเกินไว้เป็นเงินสำรอง และนำเงินสำรองนี้ไปลงทุนเพื่อหาดอกผลด้วยการซื้อพันธบัตร ซื้อจำนอง ซื้อหุ้น หรืออื่น ๆ ตามขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต จึงทำให้จำนวนเงินสำรองประกันภัยเพิ่มพูนขึ้นจนเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้กับ ผู้เอาประกันในปีหลัง ๆ ได้

ปัจจัยที่กำหนดจำนวนเงินสำรองประกันภัย

ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดจำนวนเงินสำรองประกันภัยของแบบประกันชีวิตแต่ละแบบว่าจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ

- จำนวนเงินเอาประกัน กรมธรรม์ที่มีจำนวนเงินเอาประกันสูงจะมีจำนวนเงินสำรองประกันภัยสูงกว่ากรมธรรม์ที่มีจำนวนเงินเอาประกันต่ำ
- อายุของผู้เอาประกันเมื่อเริ่มทำสัญญา ในแบบประกันชีวิตแบบเดียวกัน ผู้เอาประกันที่มีอายุมากจะเสียเบี้ยประกันสูงกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากผู้ที่มีอายุมากจะมีอัตรามรณะสูง บริษัทจึงต้องสำรองเงินไว้มากกว่า
- ระยะเวลาที่สัญญามีผลบังคับ ในแบบประกันชีวิตแบบเดียวกัน หากผู้เอาประกันมีอายุเท่ากัน ผู้ที่เอาประกันก่อนหรือระยะเวลาของสัญญาที่มีผลบังคับนานกว่าจะมีเงินสำรองประกันภัยมากกว่าผู้ที่เพิ่งเริ่มเอาประกันชีวิต
- แบบของกรมธรรม์ กรมธรรม์แบบที่ให้ผลประโยชน์ด้านการออมทรัพย์สูงจะมีเบี้ยประกันสูงกว่าแบบที่ให้ผลประโยชน์ด้านการออมทรัพย์น้อย ดังนั้นแบบที่ให้ผลประโยชน์สูงจึงมีเงินสำรองประกันภัยมากกว่าแบบที่ให้ผลประโยชน์ต่ำ
- อัตราดอกเบี้ย ในการคำนวณเงินสำรองประกันภัย หากใช้อัตราดอกเบี้ยสูงจะทำให้เงินสำรองประกันภัยต่ำ ในทางกลับกันหากใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำจะทำให้เงินสำรองประกันภัยสูง
- ระยะเวลาการชำระเบี้ย ในกรมธรรม์ที่ให้ผลประโยชน์เท่ากัน กรมธรรม์ที่มีระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันยาวจะมีเงินสำรองประกันภัยน้อยกว่ากรมธรรม์ที่มีระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันภัยสั้น เนื่องจากชำระเบี้ยประกันภัยน้อยกว่า
- ตารางมรณะ หากบริษัทประกันภัยใช้ตารางมรณะที่มีอัตราการตายสูง จำนวนเงินสำรองประกันภัยจะสูงกว่าการใช้ตารางมรณะที่มีอัตราการตายต่ำ


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

วิธีการคำนวณอัตราเบี้ยประกันชีวิต

เบี้ยประกันชีวิต คือ เงินที่ผู้เอาประกันจ่ายให้แก่บริษัทรับประกันเพื่อความคุ้มครองและผลประโยชน์อื่น ๆ ตามกรมธรรม์ที่จะได้รับจากการประกันชีวิต
เนื่องจากการประกันชีวิตเป็นสัญญาที่มีอายุยาวนาน และการจ่ายเงินเอาประกันขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนของอนาคต (ความทรงชีพหรือมรณะของบุคคล) ดังนั้นจึงต้องพิจารณาในรายละเอียดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง ปัจจัยที่ใช้ในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันมี 3 ประการ คือ
1.อัตรามรณะ (Rate of Mortality)
อัตรามรณะ หมายถึง อัตราการตายของผู้เอาประกันที่ประมาณได้ อัตรามรณะที่อายุหนึ่ง ๆ ใช้แทนอัตราการตายของกลุ่มคนที่อายุนั้น ๆ
การประกันชีวิต คือ การรับเสี่ยงภัยของผู้เอาประกัน ความเสี่ยงภัยก็คือความมรณะของผู้เอาประกัน ซึ่งบริษัทไม่ทราบว่าผู้เอาประกันจะมรณะเมื่อใด จึงไม่สามารถคำนวณจำนวนเบี้ยที่จะเรียกเก็บจากผู้เอาประกัน แต่ละคนได้ การใช้ "ตารางมรณะ" ซึ่งแสดงสถิติข้อมูลการตายของคนในแต่ละอายุว่ามีอัตราการตายเป็นจำนวนเท่าใด ทำให้บริษัทสามารถคำนวณเบี้ยประกันที่จะเรียกเก็บจากผู้เอาประกันได้ ปัจจุบัน บริษัทประกันชีวิตใช้ตารางมรณะไทย 2540
2.อัตราดอกเบี้ย (Interest)
อัตราดอกเบี้ยเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันชีวิต การชำระเบี้ยประกันซึ่งผู้ซื้อประกันชำระครั้งเดียว (Single Premium) หรือชำระรายงวดคงที่สม่ำเสมอ (ชำระเท่ากันทุกงวด) ตลอดระยะเวลาที่ต้องชำระเบี้ยประกันชีวิตนั้น จะเป็นผลให้เงินจำนวนนี้สะสมอยู่กับบริษัทเป็นเวลานานก่อนที่บริษัทจะจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนเมื่อมีการมรณะหรือครบกำหนดสัญญา บริษัทจึงมีโอกาส นำเบี้ยประกันชีวิตไปลงทุนหาดอกผลได้ ดอกผลหรือรายได้จากการลงทุนนี้จะช่วยให้บริษัทคำนวณอัตราเบี้ยประกันให้ลดลงได้โดยหวังผลจากดอกผลของเบี้ยประกันเหล่านี้ในอนาคต
3.ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (Expenses)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ เงินเดือนพนักงาน ค่าบำเหน็จตัวแทน (นายหน้า) นอกจากนี้บริษัทยังต้องคำนวณเผื่อถึงความสูญเสีย (สินไหม) ที่ไม่ได้คาดไว้ (Unexpected Losses) ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นบริษัทจึงต้องเก็บเบี้ยประกันภัยเพิ่มเข้าไปในเบี้ยประกันภัยสุทธิจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวและเพื่อเป็นผลกำไรของบริษัท ซึ่งจำนวนที่เพิ่มเข้าไปนี้เรียกว่าส่วนบวกเพิ่ม (Loading) เบี้ยประกันภัยสุทธิที่รวมส่วนบวกเพิ่มนี้เรียกว่า เบี้ยประกันภัยรวม (Gross Premium) คำว่า "เบี้ยประกันภัย" ที่เรามักจะได้ยินเสมอ ๆ หมายถึง เบี้ยประกันภัยรวมนั่นเอง
นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้วยังอาศัยข้อมูลอื่นเพิ่มเติมอีก ได้แก่
1. อายุของผู้เอาประกัน
2. เพศของผู้เอาประกัน (ในบางประเทศคำนวณเบี้ยประกันโดยใช้อัตรามรณะเดียวกันทั้งเพศชาย
และเพศหญิง)
3. จำนวนเงินเอาประกัน
4. แบบของสัญญา ระยะเวลาของสัญญา และระยะเวลาชำระเบี้ยประกัน


วิธีการชำระเบี้ยประกัน
ผู้เอาประกันเลือกชำระเบี้ยประกันได้ 3 วิธี คือ ชำระครั้งเดียว ชำระเป็นงวดรายปี และชำระล่วงหน้า
เบี้ยประกันจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) หมายถึง ผู้เอาประกันจ่ายเบี้ยประกันครั้งเดียวเมื่อเริ่มประกันโดยผู้เอาประกันจะไม่มีภาระในการจ่ายเบี้ยประกันต่อไปอีก จำนวนเบี้ยประกันที่เรียกเก็บจะเป็นเงินก้อนหนึ่งซึ่งเมื่อรวมกับดอกเบี้ยที่จะได้รับในอนาคตแล้วจะมีจำนวนเพียงพอสำหรับจ่ายตามข้อกำหนดของสัญญา
เบี้ยประกันจ่ายเป็นรายงวด (Annual Premium) คือ การจ่ายเป็นรายงวด อาจจะจ่ายเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือน หรือรายเดือน จำนวนรวมของเบี้ยประกันจะมากกว่ารายปี เพราะถ้าจ่ายเป็นรายปีบริษัท ก็สามารถนำไปลงทุนหาดอกผลได้ก่อน ในการคำนวณเบี้ยประกันถือหลักคำนวณเป็นรายปี ดังนั้นถ้าผู้เอาประกันเสียชีวิตระหว่างปี จำนวนเบี้ยประกันที่ยังชำระไม่ครบจะถูกนำไปหักออกจากจำนวนเงินเอาประกันที่บริษัทจะต้องจ่ายออกไป



เวบไซต์น่าสนใจ  http://www.iprbthai.org/iprbthai2011/main/default.aspx
http://www.thaiactuary.org/


3/7/56

เส้นทางรวย

คุณวสันต์ เจ้าของ Benz ทองหล่อ ตอนเด็กเค้ามีกางเกงตัวเดียว

ถ้าฝนตก กางเกงไม่แห้ง เค้าแย่เลย ต้องใส่กางเกงตัวนั้นไปเรียน

(เค้าเป็นคนเมืองกาญจนบุรี)


ตั้งแต่ ป.1 - ม.4 จน ถึงตอนคุณวสันต์เรียนที่อำนวยศิลป์ เค้าต้องเดิน

ไปเรียน ตอนนั้นค่ารถเมล์ก็ไม่มี


ไปเข้าหอการค้า แล้วก็ไปทำงาน ทำไปทำมาก็ออกจากงานเพราะ

เจอเจ้านายที่ไม่ฉลาด


เค้าเดินทางไป Texas, USA ไปเรียน ป.โท จบมาก็มาขาย toyota +

benz    ตอนแรกไม่มีที่หรอก  เค้าอาศัยไปขอโบร์ชัว แล้วนำมาคุยกับ

ลูกค้า



ทำไปทำมา พอมีเงิน  ก็ไปซื้อที่ดินที่สถานที่หนึ่งซึ่งแต่ก่อน มีแต่โค

และกระบือ   ตอนนั้น  ตร.วา ละ 7,000 บาท    คุณ วสันต์ไปขอซื้อ เจ้า

ของที่เห็นหน้า และเห็นใจ ขายให้ในราคา ตร.วาละ 4,000 บาท(ลด

ให้)


ตอนนี้ สถาณที่นั้น คือทองหล่อ คุณวสันต์บอกว่า ราคาที่ตอนนี้

เหยียบ ตร.วาละ 1 +ล้าน


ตอนปี 40 คุณตัน oishi มาขอซื้อที่ คุณตันมองว่า ต่อไป ความเจริญ
 
น่าจะมาถึงทองหล่อ แล้วก็เป็นความจริงอย่างที่เราเห็น
 

คุณวสันต์ให้เราคบคนดี ทำแต่สิ่งดีๆ
ตอบแทนสังคม แล้วเราก็จะพบแต่สิ่งดีๆ

 
คุณปรารถนา : คุณพ่อทำงานราชการ คุณแม่เป็นพนักงานบริษัท

ตอนเด็กๆคุณพ่อให้อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษให้ฟัง

คุณปรารถนา อ่านตั้งแต่ ป.1 - มศ.5  ดังนั้นการฝึกภาษาอังกฤษ
จน

เป็นชีวิตประจำวัน ทำให้เธอพัฒนาภาษาอังกฤษไปได้มากจริงๆ

ปัจจุบัน คุณปรารถนา ทำงานตั้งแต่ 6.00 - 22.00 น.  แต่เธอบอกว่า ยัง
 
ได้พัก ไม่เหมือนกับเจ้าของกิจการที่ต้องดูแลกิจการตลอด 24 ชั่วโมง

ตอนที่เธอเรียนปี 3 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เธอทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย

 
ตอนนั้นเป็น sale ขายหม้อตราม้าลาย และขายไม้แขวนเสื้อ
 
ถ้าคนทั่วๆไป เดินขายทั่วๆไป วิธีแบบนั้นก็จะไม่ค่อยสร้างยอดขาย

เธอเลยคิดใหม่ โดยตั้งปัญหาว่า

"ที่ไหน จะมีคนซื้อมากที่สุด(หา demand)"

ไปๆมาๆเธอพบว่า แม่ค้าที่ตลาดอโศก มี demand เยอะสุด

ภายหลังเธอสร้างยอดขายได้มาก จนเป็น Top sale

 

เธอเคยทำงานที่ CPN ในตำแหน่ง CFO (Chief Financial Officer)

ภายหลังเธอย้ายมาทำงานที่ MINT(เครือไมเนอร์ international)

 
เธอประทับใจคำพูดของเจ้าของกิจการที่พูดว่า

เงินทั้งหมดนี้(ตอนนั้น mint มี market cap. = 2,000 ล้านบาท)



คือเงินของเค้า เค้ามั่นใจว่าคุณปรารถนา จะบริหารเงินทั้งหมดของ
 
เค้าให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้ เพราะคุณปรารถนาเคยบริหารเงินเป็น
 
หมื่นล้าน(ตอนอยู่ CPN)
 


ดร.นิเวศน์ : แต่ก่อนครอบครัวท่านยากจนมาก ท่านมาจากครอบครัว
 
คนจีน มีเสื่อผืนหมอนใบ ที่บ้านต้องทำงานรับจ้างเพื่อแลกเงินมาใช้
 
จ่าย  ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีเงินมาใช้จ่าย
 
ท่านพบว่า ท่านโชคดี แต่ก่อนท่านอยู่บ้านหลังคามุงจาก แล้วก็ไปอยู่
 
หลังคาสังกะสี

ท่านเรียน รร.วัดดอนที่เค้าว่าผีดุ
 
ท่านพยายามเล่าเรียน จนสอบเข้าวัดสุทธิได้

หลังจากนั้นท่านสอบเข้า รร.เตรียมอุดมศึกษา สอบเข้าวิศวะจุฬา
 
พอออกไปทำงานต่างจังหวัดสักพักท่านเริ่มเห็นทางตัน

ท่านมาศึกษา ป.โทต่อที่ NIDA แล้วท่านไปเรียนต่อ ป.เอก ที่ USA

กลับมาจาก USA ท่านทำงานหนัก แต่ ดร.มา evaluate ตัวท่านเอง
 
แล้วรู้สึกว่า รายได้จากการทำงานไม่คุ้มกับความเหนื่อย ท่านจึงมา
 
ศึกษาและลงทุนแบบ value investor

(ท่านบอกว่า แต่ละคนมีแนวทางชีวิตไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่า ทำงาน
 
แล้วไม่ดี)


 

ท่านบอกว่า เรามักจะรวยจาก การที่เราเริ่มคิดได้ เริ่มวาง straegy ที่
 
ถูกต้อง มุ่งมั่น แล้วปฏิบัติ
 
ถ้าทำอะไรแล้วไม่เห็นอนาคตใน 5 - 10 ปีว่าจะเป็นอย่างไร ท่านให้คำ
 
แนะนำแล้วว่า เราต้องพิจารณาสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว



- บางครั้ง การที่เราต้องทำงานหนักมากๆ เราจะเป็นคน conservative
 
ไปโดยปริยาย

บางครั้งเราจึงมองข้าม โอกาส บางอย่างไป
 
(ท่านสอนให้หา oppotunity ในการลงทุนที่เหมาะสม ไม่ได้สอนให้

โลภโดยที่ไม่ได้ศึกษา)

ตลาดหุ้นเป็นสถาณที่หนึ่งที่คนที่มีเงินน้อยๆ สามารถลงทุนได้

หลายครั้งที่เราเลือกหุ้นดี ซื้อแล้วมองอยู่ห่างๆ

ถอยห่างจาก Mr.market จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และไม่
 
น่าเชื่อ (รักษาระยะห่างจากตลาดหุ้นให้เหมาะสม)



การใช้จ่ายและลงทุนอย่างพอเพียงทำให้เรามี financial freedom ได้
 
และเราอย่าลืมดูแลสุขภาพของเราให้แข็งแรง เราจะได้รับผลตอบ
 
แทนจากมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้นได้มากขึ้น



   - หลายครั้งที่เราต้องมองหาโอกาส ตอนปี 2528 ตอนนั้น เศรษฐกิจ
 
ตกต่ำ  คุณ วสันต์ไปซื้อรถ benz มารวมไว้หมด คุณวสันต์  เชื่อว่า
 
อย่างไรซะก็ต้องมีคนซื้อรถ benz ไปๆมาๆ    พอ supply น้อยลง แต่
 
demand เท่าเดิม คนก็มาซื้อ รถ benz ที่คุณ วสันต์
 


อ.ไพบูลย์ : ถ้ากลับไปแก้ไขอะไรในอดีตได้ อยากทำอะไร ?

ดร.นิเวศน์บอกว่า อยากกลับไปฝึกดนตรี (ภรรยาท่านเล่นเปียโนหรือ

ไม่ ไม่แน่ใจ)

ท่านอยากลับไปฝึกวาดภาพ เช่นสีน้ำ เพราะตอนนี้ฝึกไม่ได้แล้ว


 

"จะฝากอะไรไว้ให้คนรุ่นหลังบ้างครับ"

- คุณ วสันต์ : ถ้าเราฝึก ตามรู้ ดูใจ ตนเอง เราจะเกิดสติ
เมื่อเราเกิดสติ เราก็จะมีสตางค์ได้

- คุณ ปรารภนา : มีคนสอนว่า

อายุ 1 - 20 ปี : ให้เราศึกษาเรื่องต่างๆที่จำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิต

อายุ 20 - 30 ปี : ให้เราไปศึกษาเล่าเรียนสิ่งที่จะต้องใช้ประกอบอาชีพ
(ตอนนั้นเราเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย , เรียนต่อ ป.โท ป.เอก กัน)

อายุ 30 - 40 ปี ให้ไข่วคว้าสู่จุดสูงสุด เพราะหลายครั้งเมื่อเราอายุมากขึ้น เช่นอายุ 50 ปี เราก็จะไม่ก้าวหน้าไปสูงกว่านี้อีกเลย
(บอกให้เรามองอนาคต และพยายาม )

และสุดท้าย อย่าลืมตอบแทนสังคม

แค่เราคิดที่จะทำอะไรดีๆ ชีวิตเราก็จะเริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆ:D


สุดท้ายนี้ ดร.นิเวศน์บอกว่า ให้เรา...หา Life Plan ของตนเอง
ต้องคิดให้ดีๆ ต้องเป็น life plan ที่ simple เข้าใจง่าย



เมื่อเราวางแผนได้ถูกต้อง

และเหมาะสมกับตัวของเรา

เราก็จะทราบด้วยตนเอง

[เสด-ถะ-สาด].com

Creative Thailand สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์

อัดเดทเนื้อหาล่าสุดจาก INCquity

Salween News Online : สาละวินนิวส์ออนไลน์

1000 Awesome Things

The Prospect Group

Financial Times - Asia

About.com Investing for Beginners

About.com Investing for Beginners: Most Popular Articles

Listing of recent news from Hong Kong Trade Development Council

USA.gov Updates: News and Features

Trading Economics

Morningstar Articles

Biography.com - Weekly Listings for January 27 - February 02

Biography.com - On This Day Headliners

REW Blogs : Real Estate Webmasters Blogging Platform

Food.com: Newest recipes

ISE Announcements

IMD Business School - Tomorrow's Challenges Articles

IMD MBA Blogs : MBA Blog class of 2013