23/7/56

ความแตกต่างของประกันวินาศภัย กับ ประกันชีวิต

ความแตกต่างของประกันวินาศภัย กับ ประกันชีวิตในหลักที่สำคัญอยู่ที่

ประกันวินาศภัย เล่นกับ ภัยที่ไม่แน่นอน จึงใช้คำว่า insurance และคุ้มครองทรัพย์สินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าที่แน่นอน จ่ายเกินกว่ามูลค่าที่แน่นอนไม่ได้ จึงต้องมีการประเมินมูลค่าของทรัพย์สินที่ทำประกันภัย

แต่ ประกันชีวิต เล่นกับ ภัยที่แน่นอน จึงใช้คำว่า assurance จึงเห็นบางบริษัทใช้คำนี้ เพราะเล่นเสี่ยงกับภัยที่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ถ้าเกิดช้าก็ได้กำไร แต่เกิดเร็วก็ขาดทุน และมูลค่าไม่แน่นอน เพราะภัยที่คุ้มครองคือชีวิตของผู้ทำประกันภัย ซึ่งไม่สามารถตีค่ามูลค่าที่แน่นอนได้ เพราะศักยภาพในการหารายได้ของคนมีศักยภาพไม่แน่นอน จึงสามารถเลือกทำประกันภัยชีวิตได้ไม่จำกัดตามศักยภาพ

คณิตศาสตร์ประกันภัย  ความน่าจะเป็นของโมเดลธุรกิจ 2 แบบจึงต้องต่างกัน วินาศภัย คำนวณความน่าจะเป็นของการเปิดภัยในรอบหลายๆ ปี แล้วคำนวณเป็นความเสี่ยง กับ ค่าเบี้ยประกันภัยที่จะคุ้มครองได้ บวกกำไรเข้าไปในระดับเหมาะสม จึงต้องมีการสำรองค่าเบี้ยไว้ส่วนหนึ่ง เพราะเราไม่รู้ว่าภัยจะเกิดขึ้นเมื่อใด เราเรียกว่าเงินกองทุนประกันภัย ที่ คปภ. จะมีการคำนวณไว้ทุก ๆ ปี

สำหรับ ประกันชีวิต คำนวณความน่าจะเป็นของความแน่นอนของชีวิตคน ผ่าน อัตราการตายโดยเฉลี่ยของชีวิตคนในแต่ละช่วงอายุ แล้วคำนวณค่าเบี้ยประกันภัย บวก กำไรเข้าไปในระดับที่เหมาะสม และยังมีการคำนวณค่าเบี้ยรประกันภัยในช่วงปีแรก ๆ ไว้ให้ผู้คุ้มครองจ่ายสูงกว่าปกติ เพื่อไปชดเชยในช่วงที่อายุมากขึ้น จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตสูงขึ้น เพราะเราใช้ระบบการจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตเป็นแบบคงที่ไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงการเสียชีวิตของผู้มีอายุสูง ๆ จะสูงขึ้น ก็จะต้องมีการคำนวณเงินกองทุนประกันชีวิตที่ คปภ. จะมีการให้คำนวณไว้ทุก ๆ ปีเหมือนกัน


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>


การคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย โดย ชญณา พูลทรัพย์

การ กำหนดอัตราเบี้ยของการประกันภัยเป็นงานพื้นฐานของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนงานที่แตกต่างกัน แต่หากมีความเกี่ยวเนื่องกัน คือ การคำนวณต้นทุนความเสียหายที่คาดว่าจะเป็น (expected loss cost) และ การคำนวณราคาที่เหมาะสม (optimal price)

การคำนวณต้นทุนความเสียหายที่คาดว่าจะเป็น เป็นส่วนงานที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยสามารถคำนวณได้ โดยอาศัยองค์ความรู้ และความชำนาญทางสถิติ นอกจากนี้ ในการที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อคาดคะเนอนาคต ก็จำต้องอาศัยความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เพื่อให้ได้ปัจจัยแนวโน้ม (trend factor) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของการคำนวณต้นทุนความเสียหายที่คาดว่าจะเป็น

ส่วนการคำนวณราคาที่เหมาะสมเพื่อใช้ในภาคธุรกิจนั้น มีปัจจัยที่สำคัญหลายปัจจัยเข้ามามีบทบาทในการตั้งราคา อาทิ ภาวะการแข่งขันทางการตลาด ความต้องการของลูกค้าที่อาจพอใจกับอัตราเบี้ยประกันฯ ที่แบ่งกลุ่มความเสี่ยงไม่ซับซ้อนเกินไป

นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงจำต้องใช้ศาสตร์และศิลป์เพื่อให้ได้มาซึ่งอัตรา เบี้ยประกันภัยที่จะนำพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น การพัฒนานักคณิตศาสตร์ประกันภัยรุ่นใหม่จึงมีแนวโน้มที่จะพัฒนาทักษะทาง ธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์ ไปพร้อมๆ กับเทคนิคทางสถิติและคณิตศาสตร์ที่ยังคงเป็นหัวใจหลัก


ในครั้งนี้จะเป็นการนำเสนอวิธีการคำนวณ เบี้ยประกันภัยของการประกันวินาศภัยในภาพรวม โดยไม่จำเพาะเจาะจงประเภทความความคุ้มครองใดๆ และจะชี้ให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ รวมทั้งองค์ประกอบสำคัญที่ควรพิจารณาเพื่อการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย

วัตถุประสงค์ของการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) วัตถุประสงค์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง (2) วัตถุประสงค์ที่ต้องคำนึงถึง

1. วัตถุประสงค์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ ? อัตราเบี้ยประกันภัยต้องครอบคลุมความสูญเสีย (loss) และค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามการคาดคะเน เป็น ที่ทราบดีอยู่แล้วว่าธุรกิจจะดำรงอยู่ได้ บริษัทจะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งแหล่งรายได้ที่สำคัญมาจากเบี้ยประกันภัยและผลตอบแทนจากการลงทุน ส่วนรายจ่ายเกิดจากค่าสินไหมทดแทนซึ่งจ่ายให้แก่ผู้เอาประกันภัย, ค่าใช้จ่ายในการขาย, ภาษี และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะถูกนำมาคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อให้สอดคล้องตามกลุ่มความเสี่ยงภัยต่างๆ ? อัตราเบี้ยประกันภัยต้องเพียงพอต่อความคุ้มครองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ใน การคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยนั้น นักคณิตศาสตร์ต้องคำนึงถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดว่าจะเกิดด้วย เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ซึ่ง 100 ปีเกิดครั้ง โดยบริษัทต้องคำนึงถึงคู่แข่ง และความพึงพอใจของลูกค้าด้วย หากเบี้ยประกันภัยสูงเกินไป บริษัทก็จะสูญเสียฐานลูกค้าไป แต่ถ้าเบี้ยประกันภัยต่ำเกินไป บริษัทก็จะขาดทุน หรืออาจมีกำไรไม่มากพอที่จะนำไปขยายธุรกิจในอนาคตได้ รวมถึงผลกระทบต่อการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นด้วย ? อัตราเบี้ยประกันภัยต้องจูงใจ หรือกระตุ้นให้ผู้ถือกรมธรรม์ช่วยควบคุมความเสียหาย การ จัดแบ่งกลุ่มความเสี่ยงที่ดีจะช่วยจูงใจให้มีการลดค่าสินไหมทดแทนได้ เช่น ผู้ขับขี่ประวัติดี, บ้านหรืออาคารที่ติดอุปกรณ์ดับเพลิงหรือสัญญาณกันขโมย จะได้ส่วนลดเบี้ยประกันภัย เป็นต้น ข้อดีของการกระตุ้นให้ลดความสูญเสีย นอกจากผู้เอาประกันจะซื้อความคุ้มครองด้วยเบี้ยประกันภัยที่ถูกลงแล้ว สังคมยังได้ประโยชน์ในแง่ของการลดอุบัติเหตุ, การบาดเจ็บ และความเสียหายของทรัพย์สินด้วย ? อัตราเบี้ยประกันภัยต้องเป็นที่ยอมรับได้ของกรมการประกันภัย (หน่วยงานควบคุมดูแลธุรกิจประกันภัย) การ ตรวจสอบของกรมการประกันภัยจะมุ่งเน้นที่เบี้ยประกันภัยต้องเพียงพอต่อการ ดำเนินธุรกิจ แต่เบี้ยประกันภัยก็ต้องไม่สูงเกินไป และต้องยุติธรรมสำหรับแต่ละกลุ่มเสี่ยง โดยกรมการประกันภัยมักจะขอเอกสารประกอบการคำนวณเบี้ยประกันภัยจากบริษัท เพื่อนำมาตรวจสอบ พร้อมกับรับฟังการวิจารณ์จากนักกฎหมายและจากประชาชนด้วย และกรมการประกันภัยเองยังสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือแม้กระทั่งปฏิเสธอัตราเบี้ยประกันภัยที่บริษัทเสนอไปได้ ดังนั้น นักคณิตศาสตร์จึงต้องเตรียมตอบข้อโต้แย้งทุกแง่มุมเพื่อให้มีเหตุผลเพียงพอ สำหรับการยอมรับในวิธีปฏิบัติ


2. วัตถุประสงค์ที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ ? อัตราเบี้ยประกันภัยควรมีเสถียรภาพ การ ปรับอัตราเบี้ยประกันภัยขึ้นลงตามความเหมาะสมของบริษัทอยู่ตลอดเวลานั้น ในบางครั้งอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความไม่แน่นอนจนเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจ ได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าภัยบางอย่างเกิดนานๆ ครั้ง บริษัทก็ต้องคิดถึงความสูญเสียเผื่อไว้เพื่อเกลี่ยเป็นระยะยาว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความผันผวนของเบี้ยประกันภัย ? ควรมีการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยตามความเหมาะสม ใน บางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องปรับอัตราเบี้ยประกันภัยอย่างทันท่วงที เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายบางประการที่กระทบต่อการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น ? อัตราเบี้ยประกันภัยควรง่ายต่อการทำความเข้าใจ เพื่อ ผลประโยชน์ทางการตลาด ตารางอัตราเบี้ยประกันภัยที่ได้ต้องไม่ซับซ้อนจนเกินไปจนยากต่อการทำความ เข้าใจของลูกค้าหรือตัวแทนขาย อีกทั้งยังต้องง่ายต่อการอธิบายให้ผู้บริหารและกรมการประกันภัยเข้าใจเพื่อ การขออนุมัติอัตราดังกล่าว

การใช้อัตราเบี้ยประกันภัยที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ยังช่วยให้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการหรือเทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากในการคิดคำนวณ ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่จำเป็นตามมาอีกด้วย

หน่วยเสี่ยงภัย (exposure unit) คือ หน่วยซึ่งต้นทุนค่าความเสียหายแปรผันเป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนหน่วยนั้น เช่น ถ้า 1 หน่วยเสี่ยงภัย มีต้นทุนค่าความเสียหาย 100 บาท ดังนั้น 2 หน่วยเสี่ยงภัย ก็จะมีต้นทุนค่าความเสียหาย 200 บาท หน่วยเสี่ยงภัยที่ดีนั้นควรสามารถวัดค่าความเสียหายได้ถูกต้อง ง่ายต่อผู้รับประกันภัยในการกำหนด และยากต่อผู้เอาประกันภัย และผู้พิจารณารับประกันภัยในการบิดเบือน การเลือกหน่วยเสี่ยงภัย และปัจจัยเสี่ยงภัย มูลค่า ความเสียหายมากหรือน้อยนั้นขึ้นกับหลายๆ ปัจจัย นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะทำการวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าความ เสียหายอย่างเป็นระบบโดยใช้วิธีการทางสถิติ หรือคณิตศาสตร์ประกันภัย (statistic/actuarial criteria) ประกอบกับความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ (operational criteria) ความยอมรับของสังคม (social criteria) และเงื่อนไขของกฎหมาย (legal criteria) ทั้งนี้ปัจจัยที่มูลค่าความเสียหายมีผลกระทบเป็นสัดส่วนโดยตรงมากที่สุดจะ เป็นตัวเลือกสำหรับการถูกใช้เป็นหน่วยเสี่ยงภัย ซึ่งหน่วยเสี่ยงภัยนี้อาจไม่ใช่หน่วยเสี่ยงภัยแท้จริง (true exposure) ก็ได้ แต่เป็นเพียงตัวแทน (proxy) ของหน่วยเสี่ยงภัยแท้จริง เนื่องจากหน่วยเสี่ยงภัยแท้จริงนั้นมีความซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ตัวอย่างเช่น ในการวัดความเสี่ยงของประกันภัยรถยนต์ที่แท้จริงนั้นอาจเป็น ?ระยะทางของการใช้รถยนต์? คือ ถ้าใช้รถยนต์ไปเป็นระยะทางที่มากก็จะมีความเสี่ยงมาก หรือ ?เวลาที่ใช้รถยนต์? เช่น ถ้าใช้รถยนต์ในเวลากลางคืนหรือเวลาเร่งด่วน ก็มีความเสี่ยงกว่าใช้รถยนต์ในเวลากลางวันหรือช่วงบ่าย แต่ระยะทางหรือระยะเวลาของการใช้รถยนต์นั้นไม่เหมาะสมที่จะนำมาเป็นหน่วย เสี่ยงภัย ถึงแม้ว่า ?ระยะทางของการใช้รถยนต์? หรือ ?เวลาที่ใช้รถยนต์? จะสามารถวัดค่าความเสียหายได้ถูกต้อง แต่โดยปกติแล้วไม่มีผู้ใดบอกระยะทาง หรือ ระยะเวลาใช้รถยนต์ได้แน่นอนล่วงหน้า (ตอนทำประกันภัย) จึงทำให้ไม่สามารถคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยได้ นอกจากนี้ ผู้เอาประกันภัยยังสามารถที่จะบิดเบือนข้อมูลนี้ได้เพื่อให้ได้เบี้ย ประกันภัยต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการใช้ ?ระยะทางของการใช้รถยนต์? หรือ ?เวลาที่ใช้รถยนต์? นั้นบริหารจัดการได้ยาก จึงไม่ผ่าน operational criteria ในทางปฏิบัติจึงใช้ เดือนรถยนต์ (car-month) หรือ ปีรถยนต์ (car-year) เป็นหน่วยเสี่ยงภัยที่ถัวเฉลี่ยระยะทางและระยะเวลาของการใช้รถยนต์ในแต่ละ หน่วยแทน และได้ใช้หน่วยเสี่ยงภัยนี้เรื่อยมาและแทบไม่มีการถกเถียงเพื่อการ เปลี่ยนแปลงเลย ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อมูลค่าค่าความเสียหาย นั้นอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงภัย (risk factor), ตัวแปรกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย (rating variable)

ทั้งนี้ส่วนใหญ่ในการวิเคราะห์จะพบปัจจัยอื่นๆ นอกจากปัจจัยที่ใช้เป็นหน่วยเสี่ยงภัย หรือปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบกับค่าความเสียหาย แต่ไม่ได้ถูกนำเข้ามารวมในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย เนื่องจากไม่ผ่าน operational criteria, social criteria หรือ legal criteria ทว่าข้อมูลเหล่านี้ก็ยังเป็นข้อมูลอันเป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหารที่จะใช้ เป็นแนวทางกำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยง หรือนโยบายการตลาด เช่นเลือกเจาะตลาดส่วนที่เป็นหัวกะทิ (cream of the cup) เป็นต้น

ดังนั้น ถึงแม้ว่าตลาดการประกันภัยในประเทศไทยยังเป็นแบบ tariff market ที่มีการกำหนดพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยเอาไว้แล้วก็ตาม แต่การวิเคราะห์ข้อมูลทางคณิตศาสตร์ประกันภัยอย่างมีระบบและต่อเนื่องนั้น ก็สามารถช่วยในการวางแผนการตลาด อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือช่วยในการบริหารความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>


ใน ครั้งที่แล้วเราได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัย การเลือกหน่วยเสี่ยงภัย และปัจจัยเสี่ยงภัยกันไปแล้ว ในครั้งนี้เราจะมาพูดถึงส่วนประกอบอื่นๆ ในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยกันต่อ... หน่วยเสี่ยงภัย/หน่วยรับประกัน/หน่วยคุ้มครอง (Exposure Unit) อัตรา เบี้ยประกันภัยจะแสดงอยู่ในรูปต่อหน่วยเสี่ยงภัย เช่น ประกันภัยรถยนต์ นับหน่วยเป็น ปีรถยนต์ (car year) ยกตัวอย่างเช่น ในกรมธรรม์ชนิด 6 เดือน ให้ความคุ้มครองรถยนต์ 3 คัน จะมีหน่วยเสี่ยงภัย 1.5 ปีรถยนต์ ซึ่งเบี้ยประกันภัยที่คิดจะเท่ากับผลคูณของอัตราเบี้ยประกันภัยกับจำนวน หน่วยเสี่ยงภัย นอกจากนี้ ยังมีหน่วยเสี่ยงภัยระบุเมื่อรับประกัน (written exposure), หน่วยเสี่ยงภัยรับ (earned exposure), หน่วยเสี่ยงภัยค้างรับ (unearned exposure) และ หน่วยเสี่ยงภัยรับ ณ ขณะนั้น (in-force exposure) แสดงตามตัวอย่างดังต่อไปนี้
Effective Date Written Exposure Earned Exposure In-Force Exposure
2003 2004 2003 2004 1/1/2004
1/1/2003 1 0 1 0 0
5/1/2003 1 0 0.667 0.333 1
9/1/2003 1 0 0.333 0.667 1
12/1/2004 1 0 0.083 0.917 1
Total 4 0 2.083 1.917 3

สำหรับหน่วยความคุ้มครองที่ดีนั้น ควรมีหลักเกณฑ์ดังนี้
- สามารถนับในเชิงปริมาณความเสียหายได้
- ง่ายต่อการประเมินเพื่อคำนวณเบี้ยประกันภัย
- ยากต่อการบิดเบือนข้อมูลจากผู้เอาประกันภัย
- ง่ายต่อการจัดเก็บและบริหารข้อมูล
- เป็นที่เข้าใจง่ายของลูกค้าและฝ่ายขาย

ความเบี่ยงเบนของอัตราเบี้ยประกันวินาศภัย
การ ประกันวินาศภัยนั้น ความเบี่ยงเบนของอัตราเบี้ยประกันภัยเกิดได้จากความถี่และขนาดของความ สูญเสียเป็นหลัก ส่วนอัตราดอกเบี้ยนั้นจะมีผลกระทบเฉพาะการประกันที่ใช้ระยะเวลาในการพิจารณา จ่ายค่าสินไหมทดแทนหลายปี เช่น การประกันความรับผิดที่ใช้เวลาในการตัดสินนาน...


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ส่วนแนวคิดในการคำนวณค่าเบี้ยประกันชีวิต และการตั้งสำรองเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งมีความสำคัญค่อนข้างมาก เพราะบริษัทประกันชีวิตมีความจำเป็นต้องสำรองเงินไว้สูงกว่าประกันวินาศภัย เพราะเป็นภัยเรื่องชีวิตของผู้ประกันภัยระยะยาว

เงินสำรองประกันภัย

ที่มาของเงินสำรองประกันภัย
อัตราเบี้ยประกันภัยและจำนวนเงินเอาประกันภัยคำนวณโดยใช้ตารางมรณะ คือ ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยแตกต่างกันตามอายุ เพราะเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น โอกาสที่จะตายย่อมมีมากขึ้นด้วย ตามธรรมชาติของคนแล้วเมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการประกอบอาชีพย่อมลดน้อยถอยลง ทำให้ไม่สามารถที่จะจ่ายเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นทุกปีได้ ดังนั้นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงคิดวิธีการแก้ปัญหา โดยให้อัตราเบี้ยประกันเท่ากันทุกปีแทนอัตราเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นทุกปีตามอายุของผู้เอาประกันดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเท่ากันทุกปีนี้เรียกว่า "เบี้ยประกันคงที่" (Level Premium) ผลของระบบการเก็บเบี้ยประกันคงที่นี้เอง ทำให้เกิดระบบเงินสำรองประกันภัยขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลที่อยู่ในวัยฉกรรจ์เป็นวัยที่มีความสามารถในการทำงานสูง มีระดับรายได้ดี และมีโอกาสที่จะมรณะต่ำ ดังนั้นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงคำนวณเบี้ยประกันที่บุคคลในวัยนี้ต้องชำระให้มากเกินกว่าที่จะต้องชำระตามระดับอายุของตน เพื่อนำเงินส่วนเกินนี้ไปชดเชยในระยะหลัง ๆ ที่ผู้เอาประกันมีอายุมากขึ้น แต่จะเสียเบี้ยประกันต่ำกว่าระดับอายุของตน
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันชีวิตที่จะต้องรับผิดชอบในการสะสมเงินส่วนเกินไว้เป็นเงินสำรอง และนำเงินสำรองนี้ไปลงทุนเพื่อหาดอกผลด้วยการซื้อพันธบัตร ซื้อจำนอง ซื้อหุ้น หรืออื่น ๆ ตามขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต จึงทำให้จำนวนเงินสำรองประกันภัยเพิ่มพูนขึ้นจนเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้กับ ผู้เอาประกันในปีหลัง ๆ ได้

ปัจจัยที่กำหนดจำนวนเงินสำรองประกันภัย

ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดจำนวนเงินสำรองประกันภัยของแบบประกันชีวิตแต่ละแบบว่าจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ

- จำนวนเงินเอาประกัน กรมธรรม์ที่มีจำนวนเงินเอาประกันสูงจะมีจำนวนเงินสำรองประกันภัยสูงกว่ากรมธรรม์ที่มีจำนวนเงินเอาประกันต่ำ
- อายุของผู้เอาประกันเมื่อเริ่มทำสัญญา ในแบบประกันชีวิตแบบเดียวกัน ผู้เอาประกันที่มีอายุมากจะเสียเบี้ยประกันสูงกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากผู้ที่มีอายุมากจะมีอัตรามรณะสูง บริษัทจึงต้องสำรองเงินไว้มากกว่า
- ระยะเวลาที่สัญญามีผลบังคับ ในแบบประกันชีวิตแบบเดียวกัน หากผู้เอาประกันมีอายุเท่ากัน ผู้ที่เอาประกันก่อนหรือระยะเวลาของสัญญาที่มีผลบังคับนานกว่าจะมีเงินสำรองประกันภัยมากกว่าผู้ที่เพิ่งเริ่มเอาประกันชีวิต
- แบบของกรมธรรม์ กรมธรรม์แบบที่ให้ผลประโยชน์ด้านการออมทรัพย์สูงจะมีเบี้ยประกันสูงกว่าแบบที่ให้ผลประโยชน์ด้านการออมทรัพย์น้อย ดังนั้นแบบที่ให้ผลประโยชน์สูงจึงมีเงินสำรองประกันภัยมากกว่าแบบที่ให้ผลประโยชน์ต่ำ
- อัตราดอกเบี้ย ในการคำนวณเงินสำรองประกันภัย หากใช้อัตราดอกเบี้ยสูงจะทำให้เงินสำรองประกันภัยต่ำ ในทางกลับกันหากใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำจะทำให้เงินสำรองประกันภัยสูง
- ระยะเวลาการชำระเบี้ย ในกรมธรรม์ที่ให้ผลประโยชน์เท่ากัน กรมธรรม์ที่มีระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันยาวจะมีเงินสำรองประกันภัยน้อยกว่ากรมธรรม์ที่มีระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันภัยสั้น เนื่องจากชำระเบี้ยประกันภัยน้อยกว่า
- ตารางมรณะ หากบริษัทประกันภัยใช้ตารางมรณะที่มีอัตราการตายสูง จำนวนเงินสำรองประกันภัยจะสูงกว่าการใช้ตารางมรณะที่มีอัตราการตายต่ำ


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

วิธีการคำนวณอัตราเบี้ยประกันชีวิต

เบี้ยประกันชีวิต คือ เงินที่ผู้เอาประกันจ่ายให้แก่บริษัทรับประกันเพื่อความคุ้มครองและผลประโยชน์อื่น ๆ ตามกรมธรรม์ที่จะได้รับจากการประกันชีวิต
เนื่องจากการประกันชีวิตเป็นสัญญาที่มีอายุยาวนาน และการจ่ายเงินเอาประกันขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนของอนาคต (ความทรงชีพหรือมรณะของบุคคล) ดังนั้นจึงต้องพิจารณาในรายละเอียดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง ปัจจัยที่ใช้ในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันมี 3 ประการ คือ
1.อัตรามรณะ (Rate of Mortality)
อัตรามรณะ หมายถึง อัตราการตายของผู้เอาประกันที่ประมาณได้ อัตรามรณะที่อายุหนึ่ง ๆ ใช้แทนอัตราการตายของกลุ่มคนที่อายุนั้น ๆ
การประกันชีวิต คือ การรับเสี่ยงภัยของผู้เอาประกัน ความเสี่ยงภัยก็คือความมรณะของผู้เอาประกัน ซึ่งบริษัทไม่ทราบว่าผู้เอาประกันจะมรณะเมื่อใด จึงไม่สามารถคำนวณจำนวนเบี้ยที่จะเรียกเก็บจากผู้เอาประกัน แต่ละคนได้ การใช้ "ตารางมรณะ" ซึ่งแสดงสถิติข้อมูลการตายของคนในแต่ละอายุว่ามีอัตราการตายเป็นจำนวนเท่าใด ทำให้บริษัทสามารถคำนวณเบี้ยประกันที่จะเรียกเก็บจากผู้เอาประกันได้ ปัจจุบัน บริษัทประกันชีวิตใช้ตารางมรณะไทย 2540
2.อัตราดอกเบี้ย (Interest)
อัตราดอกเบี้ยเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการคำนวณอัตราเบี้ยประกันชีวิต การชำระเบี้ยประกันซึ่งผู้ซื้อประกันชำระครั้งเดียว (Single Premium) หรือชำระรายงวดคงที่สม่ำเสมอ (ชำระเท่ากันทุกงวด) ตลอดระยะเวลาที่ต้องชำระเบี้ยประกันชีวิตนั้น จะเป็นผลให้เงินจำนวนนี้สะสมอยู่กับบริษัทเป็นเวลานานก่อนที่บริษัทจะจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนเมื่อมีการมรณะหรือครบกำหนดสัญญา บริษัทจึงมีโอกาส นำเบี้ยประกันชีวิตไปลงทุนหาดอกผลได้ ดอกผลหรือรายได้จากการลงทุนนี้จะช่วยให้บริษัทคำนวณอัตราเบี้ยประกันให้ลดลงได้โดยหวังผลจากดอกผลของเบี้ยประกันเหล่านี้ในอนาคต
3.ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (Expenses)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ เงินเดือนพนักงาน ค่าบำเหน็จตัวแทน (นายหน้า) นอกจากนี้บริษัทยังต้องคำนวณเผื่อถึงความสูญเสีย (สินไหม) ที่ไม่ได้คาดไว้ (Unexpected Losses) ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นบริษัทจึงต้องเก็บเบี้ยประกันภัยเพิ่มเข้าไปในเบี้ยประกันภัยสุทธิจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวและเพื่อเป็นผลกำไรของบริษัท ซึ่งจำนวนที่เพิ่มเข้าไปนี้เรียกว่าส่วนบวกเพิ่ม (Loading) เบี้ยประกันภัยสุทธิที่รวมส่วนบวกเพิ่มนี้เรียกว่า เบี้ยประกันภัยรวม (Gross Premium) คำว่า "เบี้ยประกันภัย" ที่เรามักจะได้ยินเสมอ ๆ หมายถึง เบี้ยประกันภัยรวมนั่นเอง
นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้วยังอาศัยข้อมูลอื่นเพิ่มเติมอีก ได้แก่
1. อายุของผู้เอาประกัน
2. เพศของผู้เอาประกัน (ในบางประเทศคำนวณเบี้ยประกันโดยใช้อัตรามรณะเดียวกันทั้งเพศชาย
และเพศหญิง)
3. จำนวนเงินเอาประกัน
4. แบบของสัญญา ระยะเวลาของสัญญา และระยะเวลาชำระเบี้ยประกัน


วิธีการชำระเบี้ยประกัน
ผู้เอาประกันเลือกชำระเบี้ยประกันได้ 3 วิธี คือ ชำระครั้งเดียว ชำระเป็นงวดรายปี และชำระล่วงหน้า
เบี้ยประกันจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) หมายถึง ผู้เอาประกันจ่ายเบี้ยประกันครั้งเดียวเมื่อเริ่มประกันโดยผู้เอาประกันจะไม่มีภาระในการจ่ายเบี้ยประกันต่อไปอีก จำนวนเบี้ยประกันที่เรียกเก็บจะเป็นเงินก้อนหนึ่งซึ่งเมื่อรวมกับดอกเบี้ยที่จะได้รับในอนาคตแล้วจะมีจำนวนเพียงพอสำหรับจ่ายตามข้อกำหนดของสัญญา
เบี้ยประกันจ่ายเป็นรายงวด (Annual Premium) คือ การจ่ายเป็นรายงวด อาจจะจ่ายเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือน หรือรายเดือน จำนวนรวมของเบี้ยประกันจะมากกว่ารายปี เพราะถ้าจ่ายเป็นรายปีบริษัท ก็สามารถนำไปลงทุนหาดอกผลได้ก่อน ในการคำนวณเบี้ยประกันถือหลักคำนวณเป็นรายปี ดังนั้นถ้าผู้เอาประกันเสียชีวิตระหว่างปี จำนวนเบี้ยประกันที่ยังชำระไม่ครบจะถูกนำไปหักออกจากจำนวนเงินเอาประกันที่บริษัทจะต้องจ่ายออกไป



เวบไซต์น่าสนใจ  http://www.iprbthai.org/iprbthai2011/main/default.aspx
http://www.thaiactuary.org/


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

[เสด-ถะ-สาด].com

Creative Thailand สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์

อัดเดทเนื้อหาล่าสุดจาก INCquity

Salween News Online : สาละวินนิวส์ออนไลน์

1000 Awesome Things

The Prospect Group

Financial Times - Asia

About.com Investing for Beginners

About.com Investing for Beginners: Most Popular Articles

Listing of recent news from Hong Kong Trade Development Council

USA.gov Updates: News and Features

Trading Economics

Morningstar Articles

Biography.com - Weekly Listings for January 27 - February 02

Biography.com - On This Day Headliners

REW Blogs : Real Estate Webmasters Blogging Platform

Food.com: Newest recipes

ISE Announcements

IMD Business School - Tomorrow's Challenges Articles

IMD MBA Blogs : MBA Blog class of 2013